วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การพัฒนาหลักสูตรเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เพื่อนำไปใช้


หลักสูตรเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เพื่อนำไปใช้
 
8หลักการและเหตุผลของการจัดหลักสูตร
                   การศึกษานับเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งต่อการพัฒนาคุณภาพของคนในประเทศ  เพราะรากฐานของชาติ คือ คน  รากฐานของคนที่คุณภาพ คือ การศึกษา  ดังนั้นการศึกษาจะช่วยสร้างความเจริญที่ยั่งยืนในอนาคตได้ การเตรียมคนที่มีคุณภาพเพื่อเป็นผู้นำด้านต่าง ๆ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่จะนำพาชาติให้เจริญก้าวหน้า การปรับโครงสร้างทางการศึกษา การปฏิรูปการศึกษาต้องทำอย่างจริงจังและจริงใจ ต้องร่วมมือกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทางการศึกษา การฝึกฝนคนที่มีสติปัญญาให้ได้เป็นผู้นำในการแก้ปัญหาต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆ อันเป็นกำลังสำคัญในการบริหารและพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า จากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาคนในสังคมไทย และจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาเยาวชนสู่ศตวรรษที่ 21 ซึ่งเครือข่าย P21 (Partnership for 21st Century Skills) ได้ออกแบบการศึกษาในยุคนี้ต้องประกอบด้วย 3R’s และ 7C’s  โดย 3 R ได้แก่ 1. อ่านออก (Reading) 2. เขียนได้(Writing) 3. คิดเลขเป็น (Arithmetic)  และ 7C ได้แก่ 1.Critical thinking & problem solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา)  2.Creativity & innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม) 3.Cross-cultural understanding (ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์) 4.Collaboration, teamwork & leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ) 5.Communications, information & media literacy (ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ) 6.Computing & ICT literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) 7.Career & learning skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้) จะเห็นได้ว่าทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม จะเป็นตัวกำหนดความพร้อมของนักเรียนเข้าสู่โลกการทำงานในปัจจุบันที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ได้แก่  ความริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม  การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา  การสื่อสารและการร่วมมือ  ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด  ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ได้แก่ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะ 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี  
                      จากข้างต้นความสามารถในการแก้ปัญหาเป็นความสมรรถนะหนึ่งที่สำคัญในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 
                   สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ผลักดันโรงเรียนให้พัฒนาเป็นโรงเรียนมาตรฐานสากลมีการพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีความเป็นพลวัต ก้าวทันกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ  เพื่อเพิ่มศักยภาพของการจัดการศึกษาให้พร้อมสำหรับการแข่งขันในเวทีโลกในยุคศตวรรษที่  21 ดังนี้ 1.โรงเรียนต้องเป็นหน่วยบริการทางการศึกษาในมิติที่กว้างขึ้น  2.หลักสูตรและการเรียนการสอนต้องมีความเป็นสากลมากขึ้น 3.ต้องมีการพัฒนาทักษะการคิดมากขึ้น 4.ต้องมีการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมมากขึ้น 5.การสอนภาษาต่างประเทศต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นโรงเรียนจึงต้องจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับปฏิญญาที่ว่าด้วยการจัดการศึกษาของ UNESCO ทั้ง 4 ด้าน คือ Learning to Know, Learning to Do, Learning to Live Together, และ Learning to Be  เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพเป็นพลโลก มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในระดับเดียวกับมาตรฐานของสากล หรือมาตรฐานของประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาสูง
                  ณิตศาสตร์เป็นวิชาหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญมากต่อการพัฒนาความคิดมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบและมีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วน รอบคอบ ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหา และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องเหมาะสม  นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและศาสตร์อื่น  คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข โดยในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551  กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ในสาระที่ 6 ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์  มาตรฐาน ค  6.1 มีความสามารถในการแก้ปัญหา  การให้เหตุผล   การสื่อสาร  การสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์ และการนำเสนอ การเชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์และเชื่อมโยงคณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่นๆ   และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์  เพื่อพัฒนาสมรรถนะของผู้เรียนและเป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
                  มนุษย์มีการแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลาเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ความเจริญก้าวหน้าของโลกที่เกิดขึ้นก็เกิดจากการรู้จักแก้ปัญหาของมนุษย์   ซึ่งทักษะการแก้ปัญหาเป็นทักษะพื้นฐานสำหรับการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน    ส่งเสริมความสามารถในระดับต่างๆที่จะนำไปสู่การประสบความสำเร็จในชีวิต ทักษะการแก้ปัญหานี้จะส่งผลต่อทักษะอื่นๆ  ได้แก่  ความคิดสร้างสรรค์  และความคิดวิจารณญาณ และส่งเสริมกลยุทธ์ต่างๆ  ได้แก่  การสังเกต การออกแบบ การตัดสินใจ การระดมสมองทำงานเป็นกลุ่ม และใช้เป็นเครื่องมือหาคำตอบ  การแก้ปัญหาเป็นกิจกรรมที่สำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงมีความสำคัญในการจัดการศึกษาของมนุษย์ด้วย   เหล่านี้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาที่ผู้เรียนควรได้รับการฝึกฝนและพัฒนา  สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี   บรรลุเป้าหมายของหลักสูตร  อีกทั้งปัจจุบันนี้ผู้เรียนยังขาดการฝึกฝนทักษะการแก้โจทย์ปัญหา และยังคิดวิเคราะห์ไม่คล่อง ทำให้ไม่ชอบเรียนเรื่องโจทย์ปัญหา ดังนั้นผู้สอนจึงจำเป็นต้องศึกษาทำความเข้าใจในทักษะการแก้โจทย์ปัญหา เพื่อให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
       จากแนวคิดปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมที่กล่าวว่าหลักสูตรที่เน้นเนื้อหา (Subject –
matter Oriented) เป็นหลักสำคัญ จะต้องมีการจัดลำดับของเนื้อหาไว้อย่างเป็นระบบต่อเนื่องตามขั้นตอนความยากง่าย จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอน อีกทั้งแนวคิดสารัตถนิยมสนับสนุน 3R’s คือ การอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็น และความเชื่อตามปรัชญานี้ ผู้เรียน คือ ดวงจิตเล็กๆ และประกอบด้วยระบบประสาทสัมผัส ครูคือต้นแบบที่ดีที่มีความรู้จึงจำเป็นต้องทำหน้าที่อบรมสั่งสอนนักเรียนโดยการแสดงการสาธิต หรือเป็นนักสาธิตให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และเห็นอย่างจริงจัง  ซึ่งเหมาะสมสำหรับวิชาคณิตศาสตร์ที่จะนำมาใช้ในเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน เนื่องจากวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่เป็นนามธรรม มีเนื้อหาที่ผู้เรียนไม่สามารถสร้างเองได้ เรียนรู้จากสมบัติ ทฤษฎีที่ถูกกำหนดขึ้นแล้วนำมาประยุกต์ใช้  และแนวคิดจากปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมมีความเชื่อว่าความรู้มีหน้าที่ช่วยมนุษย์แก้ปัญหา จะเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุด ถ้านำความรู้ที่ได้ไปใช้ได้ผลจริงๆ ถือว่ามีความสำคัญที่สุดต่อการเรียนรู้ และจะต้องให้ผู้เรียนได้รู้จักที่จะแก้ไขปัญหาของตนเองและสังคมได้ ซึ่งนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้เช่นเดียวกัน
               จากการวิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการของผู้เรียนในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6  พบว่าผู้เรียนส่วนมากขาดทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ วิเคราะห์ ตีความ และแสดงวิธีคิดโจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ไม่ค่อยถูกต้อง ซึ่งทักษะการแก้ปัญหาเป็นทักษะ/กระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญสำหรับวิชาคณิตศาสตร์ และในเนื้อหาที่มีการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์เป็นเรื่องที่เป็นปัญหามากสำหรับผู้เรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6  ได้แก่ โจทย์ปัญหาจำนวนนับ โจทย์ปัญหาการวัดความยาว/น้ำหนัก/ปริมาตร  โจทย์ปัญหาเวลา  โจทย์ปัญหาเศษส่วน โจทย์ปัญหาทศนิยม  โจทย์ปัญหาร้อยละ และโจทย์ปัญหารูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยม รูปวงกลม    ดังนั้นการจัดทำหลักสูตรเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เพื่อนำไปใช้ในครั้งนี้จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมผู้เรียนให้สามารถแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งเมื่อผู้เรียนเรียนรู้แล้วสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยผู้สอนจะต้องมีการจัดการเรียนการสอนอย่างเหมาะสมเป็นระบบ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้บรรลุตามวัตถุประสงค์
 
8วิสัยทัศน์
ผู้เรียนมีทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เพิ่มพูนความสามารถทางการคิด พิชิตปัญหาในยุคศตวรรษที่ 21
 
8พันธกิจ
          1.   สริมสร้างผู้เรียนให้คิดแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
          2.   สร้างผู้เรียนให้มีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และพัฒนาทักษะการคิด
 
8เป้าหมาย
          1.    ผู้เรียนมีทักษะและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ในระดับดี  เทียบกับระดับผล  
               สัมฤทธิ์ทางการเรียน
          2.    ผู้เรียนมีความสามารถในการใช้ยุทธวิธีแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย
      3. ผู้เรียนมีความสามารถในการนำการกระบวนการแก้ปัญหาและยุทธวิธีทางคณิตศาสตร์ที่หลากหลายไปใช้แก้ปัญหาคณิตศาสตร์ในสถานการณ์จริงได้
 
8สมรรถนะของผู้เรียน
      1.  แก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เป็น
      2.  ใช้ยุทธวิธีที่หลากหลายในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์
      3.  นำการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน
 
8คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน
       1. มีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 
       2.  มีความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์
       3.  มีความสามารถในการสื่อสาร สื่อความหมายทางคณิตศาสตร์และนำเสนอ
       4.มีความสามารถในการเชื่อมโยงความรู้ต่างๆ ทางคณิตศาสตร์และเชื่อมโยงคณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่น ๆ  
       5.  มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
 
การพัฒนาหลักสูตรเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เพื่อนำไปใช้ มีขั้นตอนในการดำเนินการ 4 ขั้นตอน ดังนี้
1.  การสร้างหลักสูตร โดยองค์ประกอบต่างๆ ของหลักสูตรเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความสำเร็จของผู้เรียนว่าบรรลุตามเป้าหมายของหลักสูตรหรือไม่ มี 2 ขั้นตอน ได้แก่
    1.1 การวางแผน  เป็นการศึกษา วิเคราะห์สภาพปัจจุบัน ทั้งสภาพปัญหาและความต้องการของผู้เรียนในการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ สภาพสถานศึกษาและสภาพสังคมที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน  พื้นฐานด้านปรัชญา   จิตวิทยา  ทฤษฎีการเรียนรู้  ทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 และทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตร์(ทักษะการแก้ปัญหา) แล้วสังเคราะห์เป็นสิ่งที่ต้องการสร้างให้เกิดขึ้นกับตัวผู้เรียน และกำหนดเป็นชื่อหลักสูตรที่ต้องการพัฒนา หลักสูตรเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เพื่อนำไปใช้
    1.2 การออกแบบ  ในขั้นตอนนี้จะได้โครงร่างหลักสูตรเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เพื่อนำไปใช้ ที่ประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ ได้แก่ วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย สมรรถนะ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับตัวผู้เรียนเมื่อจบหลักสูตร  โครงสร้างรายวิชา  คำอธิบายรายวิชา แผนการจัดการเรียนรู้ และประเมินผลการเรียนรู้
2.   การใช้หลักสูตร เป็นการทดลองใช้หลักสูตร ทั้งการบริหารหลักสูตร ได้แก่ การดำเนินการตามแผน การจัดตารางสอน คู่มือผู้เรียน ความพร้อมของผู้สอนและผู้เรียน  และการจัดการเรียนการสอน  โดยต้องปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาอยู่ตลอดเวลา
3.     การประเมินผล  เป็นกระบวนการตัดสินความสำเร็จของผู้เรียนว่าบรรลุตามเป้าหมายของหลักสูตรหรือไม่ และเป็นการตรวจสอบประสิทธิภาพของหลักสูตร  มี 2 ด้าน ได้แก่
     3.1   การประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน  เมื่อนำหลักสูตรไปทดลองใช้ จะสามารถประเมินผู้เรียนได้ ซึ่งกระบวนการประเมินที่เหมาะสม คือ The SOLO Taxonomy เป็นการประเมินผลทั้งวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียน และวิธีการสอนของผู้สอนว่าผู้เรียนมีวิธีการเรียนรู้อย่างไรและผู้สอนมีวิธีการอย่างไรที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการทางปัญญาที่มีความซับซ้อนและมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น
        การประเมินจากผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน โดยใช้ The SOLO Taxonomy จะช่วยให้ผู้เรียนและผู้สอนตระหนักถึงองค์ประกอบที่หลากหลายจากหลักสูตรได้ชัดเจนขึ้น  สามารถนำมาใช้ประเมินหลักสูตรเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เพื่อนำไปใช้ โดยพิจารณาเป้าหมายคุณภาพของผู้เรียนได้ดังนี้
 
 
ตารางแสดง โครงสร้างการสังเกตเป้าหมายคุณภาพผู้เรียน โดยใช้ The SOLO Taxonomy

การจัดลำดับ SOLO
เป้าหมายคุณภาพผู้เรียน
1. Pre-structural
   (ระดับโครงสร้างขั้นพื้นฐาน)
1. ผู้เรียนมีทักษะและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ในระดับปรับปรุง เทียบกับระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2. ผู้เรียนไม่สามารถใช้ยุทธวิธีแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในสถานการณ์ต่างๆ ได้
2. Uni-structural
   (ระดับโครงสร้างเดียว)
1. ผู้เรียนมีทักษะและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ในระดับพอใช้ เทียบกับระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2. ผู้เรียนใช้ยุทธวิธีแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในสถานการณ์ต่างๆ ได้ตามที่ตัวอย่างกำหนดให้
3. Multi-structural
   (ระดับโครงสร้างหลากหลาย)
1. ผู้เรียนมีทักษะและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ในระดับดี เทียบกับระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2. ผู้เรียนใช้ยุทธวิธีแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย
3. ผู้เรียนนำการกระบวนการและยุทธวิธีแก้ปัญหาทาง
คณิตศาสตร์ที่หลากหลายไปใช้แก้ปัญหาคณิตศาสตร์ในสถานการณ์จริงได้
4. Relational
   (ระดับสัมพันธ์ของโครงสร้าง)
1. ผู้เรียนมีทักษะและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ในระดับดี เทียบกับระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2. ผู้เรียนใช้ยุทธวิธีแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในสถานการณ์ต่างๆ และในสถานการณ์จริงได้อย่างหลากหลาย
3. ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงกระบวนการและยุทธวิธีแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่หลากหลายไปใช้แก้ปัญหาคณิตศาสตร์ในสถานการณ์จริงได้
5. Extended abstract
   (ระดับความต่อเนื่องภาคขยาย)
1. ผู้เรียนมีทักษะและความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ในระดับดีมาก เทียบกับระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2. ผู้เรียนใช้ยุทธวิธีแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในสถานการณ์ต่างๆ และในสถานการณ์จริงได้อย่างหลากหลาย และใช้วิธีการที่คิดขึ้นเองในการแก้ปัญหา
3. ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงกระบวนการและยุทธวิธีแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่หลากหลาย และแปลกใหม่หรือวิธีการที่คิดขึ้นเองไปใช้แก้ปัญหาคณิตศาสตร์ในสถานการณ์จริงได้
 
  
    3.2 การประเมินหลักสูตร  เป็นการประเมินทุกองค์ประกอบของหลักสูตรจากการทดลองใช้หลักสูตร โดยประเมินระหว่างการดำเนินการใช้หลักสูตร และประเมินจุดเด่น/จุดด้อยของหลักสูตร
4.       การปรับปรุงและแก้ไข  นำข้อบกพร่องที่ได้จากการทดลองใช้หลักสูตรมาปรับปรุงและแก้ไขหลักสูตรเสริมทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เพื่อนำไปใช้ก่อนที่จะนำไปใช้จริง
 
 



วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

บรรจุหลักสูตรพุทธศึกษา

                   คนไทยทุกคนล้วนมีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่ในความเหมือนคือ เป็นชาติไทยเหมือนกัน มีพระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน  ก็มีความต่าง คือ ศาสนา ศาสนาเป็นลัทธิความเชื่อถือของมนุษย์ที่มีหลักธรรมเกี่ยวกับบุญบาปให้ยึดถือ ทุกศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ดังนั้นการเลือกนับถือศาสนาจะขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคล ซึ่งการที่บุคคลได้ปฏิบัติตามหลักธรรมของแต่ละศาสนา และนำหลักธรรมไปใช้ในชีวิตประจำวันจะก่อให้เกิดความสงบสุข และสันติทั้งต่อตนเอง สังคม และประเทศชาติ 
                   ประเทศไทยมีคนหลากหลายเชื้อชาติ ความหลากหลายของเชื้อชาติ จึงทำให้เกิดความต่างในการนับถือศาสนา ซึ่งศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่คนไทยนับถือมากที่สุด รองลงมาเป็นศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์  ไม่ว่าศาสนาใดก็ตามล้วนมีหลักธรรมที่สอนให้คนทุกคนเป็นคนดี ประพฤติดี ละเว้นความชั่ว ซึ่งศาสนาจะเป็นสื่อกลางที่หล่อหลอมจิตใจ ความรู้สึก นึกคิดของบุคคลนั้นๆ โดยต้องได้รับการปลูกฝัง บ่มเพาะตั้งแต่วัยเยาว์เป็นต้นมา
                   จากการติดตามฟังข่าวสารบ้านเมือง ล่าสุดในวันที่ 27 สิงหาคม 2556  มีประเด็นข่าวที่น่าสนใจ น่าติดตามเกี่ยวกับการศึกษาไทยและพระพุทธศาสนา นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนาได้ประชุมหารือให้บรรจุหลักสูตรคุณธรรม จริยธรรมในสถานศึกษา โดยกำหนดให้เป็นวิชาเลือก เป็นวิชาพระพุทธศาสนาที่เน้นทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ภาคทฤษฎีจะเกี่ยวกับการเรียนรู้พุทธประวัติ ทฤษฎีการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา หลักคำสอนต่างๆ   ส่วนภาคปฏิบัติจะเกี่ยวกับการปฏิบัติ ให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตได้  รวมทั้งควรมีหลักสูตรพุทธศึกษาในสถานศึกษาให้ชัดเจน จัดแยกพุทธศึกษาออกมาจากวิชาสังคมศึกษา อยู่ในหลักสูตรแกนกลาง เป็นวิชาบังคับที่ผู้เรียนจะต้องเรียน เนื่องจากในปีการศึกษาที่ผ่านมา วิชาพระพุทธศาสนาเป็นเพียงแค่วิชาเลือก ผู้เรียนเลือก จะเรียนหรือไม่เลือกเรียนก็ได้ ซึ่งส่งผลให้ผู้เรียนห่างเหินศาสนาพุทธ และต้องจัดบุคลากร หรือครูที่มีความรู้ด้านพระพุทธศาสนาจริงๆ มาสอน ถ้าเป็นไปได้จะต้องจัดให้ครูพระสอนศีลธรรมเข้าไปมีบทบาทในการเรียนการสอน เพื่อเป็นการดำรงไว้ และเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่ง  นอกจากนี้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีความเห็นว่าสามารถเทียบโอนหน่วยกิตได้ สำหรับผู้เรียนที่ผ่านการเรียนธรรมศึกษามาแล้ว โดยธรรมศึกษา คือ การเรียนประโยคนักธรรมสำหรับฆราวาส หรือการเรียนเกี่ยวกับหลักธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า ประวัติของพระพุทธเจ้า วินัยของฆราวาส หลักปฏิบัติของฆราวาส ตลอดจนศาสนพิธีต่างๆ หลักสูตรการเรียนธรรมศึกษาแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นธรรมศึกษาตรี ประกอบด้วย 1.วิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรมตรี 2. วิชาธรรมวิภาค 3. วิชาพุทธประวัติ 4. วิชาวินัย (เบญจศีล เบญจธรรม)    ชั้นธรรมศึกษาโท ประกอบด้วย 1. วิชาเรียงความกระทู้ธรรมโท 2. วิชาธรรมวิภาค 3. วิชาอนุพุทธประวัติ 4. วิชาวินัย (อุโบสถศีล)  ชั้นธรรมศึกษาเอก ประกอบด้วย 1. วิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรมเอก 2. วิชาธรรมวิจารณ์ 3. วิชาพุทธานุพุทธประวัติ 4. วิชาวินัย (กรรมบถ)   เมื่อผู้เรียนสอบผ่านธรรมศึกษาชั้นใดชั้นหนึ่ง สามารถนำมาเทียบโอนเป็นหน่วยกิตในวิชาเลือกในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น  ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่ง  และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนสนใจในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามากขึ้น 
                 ดังนั้นในการนำหลักสูตรพุทธศึกษาเข้ามาบรรจุลงในหลักสูตรการศึกษาไทย จึงเป็นเรื่องดี  ที่จะยกระดับอารมณ์และความรู้สึกของผู้เรียนให้สูงขึ้น ให้ยึดมั่นในหลักคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม  ที่จะเป็นแนวทางให้ผู้เรียนนำไปสู่การปฏิบัติ  นำไปใช้ในชีวิตจริง สามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข
 

การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ในโรงเรียนมาตรฐานสากล


                   ปัจจุบันนี้การจัดการศึกษาในระบบการศึกษาไทยตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพ.ศ.2551 มีการเพิ่มเติมคุณลักษณะพิเศษของโรงเรียนอย่างหลากหลาย คำว่า World Class Standard School ก็เป็นทางเลือกหนึ่งในการยกระดับคุณภาพของโรงเรียน ทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมอบหมายให้สำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นผู้รับผิดชอบโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากล (World Class Standard School) เป็นโครงการที่จัดขึ้นเพื่อให้ไปสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 มาตรา 6 คือ “การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต  สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ซึ่งลักษณะของการเป็นมาตรฐานนั้นโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง 2 อย่าง ได้แก่ 1. การจัดการเรียนการสอนเทียบเคียงมาตรฐานสากล(หลักสูตรและการสอน)  2. การบริหารจัดการด้วยระบบคุณภาพตามระบบ TQA
การยกระดับการศึกษาให้เป็นโรงเรียนมาตรฐานสากลนั้นทางสำนักบริหารงานการ
มัธยมศึกษาตอนปลายได้เริ่มโครงการนี้มาตั้งแต่ปีการศึกษา 2553 เริ่มจากการการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนในประเทศไทยจำนวน 500 โรงเรียน ต้องเปลี่ยนแปลงโรงเรียนให้เป็นมาตรฐานสากลโดยการเทียบเคียงหลักสูตรต่างๆ ได้แก่ หลักสูตร English Program(EP)  หลักสูตร Mini English Program(MEP) หรือหลักสูตร International English Program(IEP)  อีกทั้งนำจุดเด่นของหลักสูตรต่างๆ มาหาจุดเน้น จึงเกิดจุดเด่นของโครงการคือ การพัฒนาการเรียนสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์โดยใช้ภาษาอังกฤษ  อีกทั้งเพิ่มหลักสูตรความเป็นเลิศทางเฉพาะทาง (วิทย์-คณิต ภาษา อาชีพ ดนตรี กีฬา) โดยเริ่มจากการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมีทั้งหมด 4 วิชา ได้แก่ ทฤษฎีองค์ความรู้  การเขียนเรียงความขั้นสูง  โลกศึกษา และการสร้างโครงงาน ซึ่งปัจจุบันได้มีการปรับเปลี่ยน 4 รายวิชาเป็นหลักสูตรการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง (Independent Study)
                   โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากลนี้จะต้องสร้างผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมจากของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดไว้กล่าวคือ ผู้เรียนต้องมีศักยภาพเป็นพลโลก ดังนี้ เป็นเลิศทางวิชาการ  สื่อสารได้อย่างน้อย 2 ภาษา   ล้ำหน้าทางความคิด   ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์  และร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคมโลก
                     ในฐานะที่โรงเรียนข้าพเจ้าเป็นโรงเรียนมาตรฐานสากล และข้าพเจ้าสอนคณิตศาสตร์
นั้น ประเด็นการพัฒนาการเรียนสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์โดยใช้ภาษาอังกฤษ เป็นประเด็นที่น่าสนใจ ในปีแรกของการเข้าร่วมโครงการโรงเรียนมาตรฐานสากล นับเป็นสิ่งท้าทายโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการในเรื่องการออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ควรจะออกแบบอย่างไร สุดท้ายก็จัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์โดยการจ้างครูต่างประเทศมาสอนเป็นระยะเวลา 1 ปี เล็งเห็นว่าครูต่างประเทศที่มาสอนวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์นั้น จัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางในการสอนเท่านั้น แต่ขาดเทคนิคและวิธีการสอนที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะ/กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เนื่องจากครูต่างประเทศไม่ได้เรียนจบทางด้านการสอนวิชาเอกวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์มาโดยตรง ทางสำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้จัดตั้งโครงการใหม่ ชื่อว่า EIS : English for Integrated Studies ที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นภาษาอังกฤษ โดยพัฒนาครูคนไทยที่ไม่เคยใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อการสอนมาก่อน นำหลักวิธีเรียนแบบคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และนำภาษาอังกฤษที่ง่าย สั้นและคุ้นเคย มาประยุกต์ในกระบวนการเรียนการสอน สำหรับวิชาวิทยาศาสตร์ถ้าจัดให้ผู้เรียนได้รับการฝึกทักษะการอ่าน-เขียนภาษาอังกฤษโดยกระบวนการทักษะพื้นฐานการเรียนรู้แบบวิทยาศาสตร์หรือ ทักษะการเรียนรู้แบบ OK Model อันได้แก่ ทักษะการสังเกต การเปรียบเทียบ การจำแนกกลุ่ม การเชื่อมโยงความรู้ และการสรุปผลแบบอ้างอิง จะส่งเสริมให้ผู้เรียน เรียนอ่าน-เขียนภาษาและเข้าใจภาษาอังกฤษที่อ่านเร็วขึ้น ส่วนวิชาคณิตศาสตร์ถ้าจัดให้ผู้เรียนได้รับการฝึกทักษะและใช้ระเบียบวิธีการทางคณิตศาสตร์ (Methodological Mathematics) ที่เหมาะสมในการวิเคราะห์และแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่เป็นภาษาอังกฤษ จะส่งเสริมและเพิ่มสมรรถนะในการเรียนรู้และเข้าใจภาษาอังกฤษ ได้ง่ายและเร็วยิ่งขึ้นเช่นกัน
                   จะเห็นได้ว่าการปรับเปลี่ยนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ให้ครูไทยเป็นผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นภาษาอังกฤษด้วยตนเองเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุด ในการพัฒนาผู้เรียนและครูผู้สอนไปพร้อมกัน เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพโรงเรียนให้เป็นมาตรฐานสากลทั้งระบบ
 
 
 
 
 

วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ความสุขในการเรียนรู้อยู่ไม่ไกล


                   ความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนแสวงหาและอยากมี ไม่ว่าจะเป็นช่วงวัยใดก็ตาม นับตั้งแต่วันแรกไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ซึ่งมนุษย์แต่ละช่วงวัยมีความสุขที่แตกต่างกันไป ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นครูจึงอยากรู้ อยากค้นหาความสุขของผู้เรียน ในประเด็นดังนี้ สิ่งใดที่ทำให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข ข้าพเจ้าได้ค้นหาคำตอบจากแหล่งข้อมูล หนังสือที่หลากหลาย พบหนังสือเล่มหนึ่งน่าสนใจ ได้แก่ “การเรียนรู้อย่างมีความสุข : สารเคมีในสมองกับความสุขของการเรียนรู้” โดย รศ.พญ.ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์ และคณะ  สามารถนำมาตอบประเด็นที่ข้าพเจ้าสนใจได้

                   ในหนังสือเล่มนี้ทำให้ข้าพเจ้าค้นพบปัจจัยที่ทำให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนรู้  โดยความสุขของผู้เรียนจะขึ้นอยู่กับเรื่องราวและประสบการณ์ที่มากระทบความรู้สึก ซึ่งการจัดการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนมีความสุขต้องคำนึงถึงสิ่งสำคัญหลายประการ ได้แก่ 1. สุขภาพร่างกายและความปลอดภัยจากยาเสพติด ผู้เรียนต้องมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ไม่เสพสิ่งเสพติด ซึ่งสิ่งเสพติดเป็นตัวทำลายระบบการทำงานของสมอง จะส่งกระทบต่อสภาพจิตใจและสติปัญญา เป็นตัวทำลายสมองอย่างถาวร   โดยครูและผู้ปกครองเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการดูแลป้องกันการติดยาของผู้เรียน ดังนั้นครู พ่อแม่และผู้ปกครองจะต้องให้ความรัก ความเข้าใจ และความเอื้ออาทรต่อผู้เรียน 2. ภาวะทางจิตใจ ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ การที่ผู้เรียนมีความสุขแสดงว่าผู้เรียนจะต้องไม่รู้สึกเบื่อหน่าย  ไม่รู้สึกว่าถูกบังคับให้เรียน  พ่อแม่ ครูและผู้ปกครองต้องเป็นบุคคลที่ทำให้เด็กเกิดความสนใจ เกิดความรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังเรียนรู้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า เรียนแล้วรู้ว่าจะนำความรู้ไปใช้ประโยชน์อะไร ซึ่งครูเป็นบุคคลที่สำคัญที่จะคอยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ ส่งเสริมให้คิดบวก มีอิสระทางความคิด ไม่จำเป็นต้องมีอิสระทางร่างกายหรือมีอิสระทางพฤติกรรม เรียนรู้อย่างมีระเบียบวินัยในชั้นเรียน อีกทั้ง EQ เป็นสิ่งสำคัญทำให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข 3. กระบวนการศึกษาโดยเฉพาะการประเมินผล ผู้เรียนต้องได้รับการช่วยเหลือ สนับสนุนอย่างเต็มตามศักยภาพและความสามารถมากกว่าจะมาประเมินผลแล้วนำผลมาเปรียบเทียบจัดอันดับผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกไม่ดี ไม่เป็นการพัฒนาให้เกิดความสุขในตัวเองและในชั้นเรียน 4. ครูและผู้บริหารโรงเรียน ครูเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน ผู้เรียนสนใจเรียนในวิชานั้นๆ เพราะครู รักครู ผู้เรียนอยากทำตัวเป็นคนดี อยากทำทุกอย่างเพื่อที่ครูจะได้ชื่นชม ซึ่งครูคนที่ผู้เรียนรักไม่ใช่ครูที่ตามใจ แต่เป็นครูที่ทราบว่าเวลาใด ควรจะเข้มงวด เวลาใดควรจะอ่อนโยน และที่สำคัญครูต้องทำให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของตนเองเสมอ ผู้บริหารโรงเรียนจะเป็นผู้ให้การสนับสนุน ให้กำลังใจ และอำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ให้บรรลุผลสำเร็จ ให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนรู้  5. พ่อแม่ผู้ปกครองต้องเข้าใจศักยภาพของผู้เรียนและส่งเสริมตามความสามารถที่ผู้เรียนมี ไม่ควรคาดหวังและเคี่ยวเข็ญให้ผู้เรียนทำในสิ่งที่เขาทำไม่ได้และไม่อยากที่จะทำ

                    เนื่องจากเรื่องราวที่มากระทบความรู้สึก ถ้าต้องการให้จดจำได้นาน ควรเป็นเรื่องราวที่ทำให้ผู้เรียนมีความสุข ไม่เกิดความเบื่อหน่าย ดังนั้นในกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนมีความสุข ต้องมีความสนุกสนาน สร้างความประทับใจผู้เรียนมีเรื่องอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เน้นการลงมือกระทำ ทำให้ผู้เรียนจำได้ สนุกที่จะเรียนและมีความคิดในทางบวกต่อสิ่งที่กำลังเรียนรู้ เป็นการสอนแบบเรื่องราวหรือบูรณการที่เชื่อมโยงเรื่องราวหรือแนวคิด ให้สมองได้เห็นภาพการเชื่อมโยงของสิ่งที่เรียนรู้ในห้องเรียนกับความจริงในชีวิต จะให้ผู้เรียนจำได้และสนุกที่จะได้เรียนรู้มากขึ้น กระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจและเกิดความรักในสิ่งที่จะเรียนรู้

                   เมื่อผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข ย่อมเป็นแรงผลักดัน หรือแรงกระตุ้นให้ผู้เรียนมีแรงกาย แรงใจที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดี  เพื่อให้บุคคลที่อยู่รอบข้าง และสังคมรอบตัวมีความสุขไปพร้อมกัน ถ้าในระบบการศึกษาไทยสามารถจัดการศึกษาให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข และมีความสุขในการเรียนรู้แล้วการศึกษาไทยจะประสบผลสำเร็จแน่นอน เพราะผู้เรียนจะดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เป็นสมาชิกที่มีประสิทธิภาพ ประพฤติ ปฏิบัติในสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และพร้อมที่จะถ่ายทอดความสุขส่งต่อให้กับรุ่นลูกหลานสืบต่อไป