วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ความสุขในการเรียนรู้อยู่ไม่ไกล


                   ความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนแสวงหาและอยากมี ไม่ว่าจะเป็นช่วงวัยใดก็ตาม นับตั้งแต่วันแรกไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ซึ่งมนุษย์แต่ละช่วงวัยมีความสุขที่แตกต่างกันไป ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นครูจึงอยากรู้ อยากค้นหาความสุขของผู้เรียน ในประเด็นดังนี้ สิ่งใดที่ทำให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข ข้าพเจ้าได้ค้นหาคำตอบจากแหล่งข้อมูล หนังสือที่หลากหลาย พบหนังสือเล่มหนึ่งน่าสนใจ ได้แก่ “การเรียนรู้อย่างมีความสุข : สารเคมีในสมองกับความสุขของการเรียนรู้” โดย รศ.พญ.ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์ และคณะ  สามารถนำมาตอบประเด็นที่ข้าพเจ้าสนใจได้

                   ในหนังสือเล่มนี้ทำให้ข้าพเจ้าค้นพบปัจจัยที่ทำให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนรู้  โดยความสุขของผู้เรียนจะขึ้นอยู่กับเรื่องราวและประสบการณ์ที่มากระทบความรู้สึก ซึ่งการจัดการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนมีความสุขต้องคำนึงถึงสิ่งสำคัญหลายประการ ได้แก่ 1. สุขภาพร่างกายและความปลอดภัยจากยาเสพติด ผู้เรียนต้องมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ไม่เสพสิ่งเสพติด ซึ่งสิ่งเสพติดเป็นตัวทำลายระบบการทำงานของสมอง จะส่งกระทบต่อสภาพจิตใจและสติปัญญา เป็นตัวทำลายสมองอย่างถาวร   โดยครูและผู้ปกครองเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการดูแลป้องกันการติดยาของผู้เรียน ดังนั้นครู พ่อแม่และผู้ปกครองจะต้องให้ความรัก ความเข้าใจ และความเอื้ออาทรต่อผู้เรียน 2. ภาวะทางจิตใจ ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ การที่ผู้เรียนมีความสุขแสดงว่าผู้เรียนจะต้องไม่รู้สึกเบื่อหน่าย  ไม่รู้สึกว่าถูกบังคับให้เรียน  พ่อแม่ ครูและผู้ปกครองต้องเป็นบุคคลที่ทำให้เด็กเกิดความสนใจ เกิดความรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังเรียนรู้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า เรียนแล้วรู้ว่าจะนำความรู้ไปใช้ประโยชน์อะไร ซึ่งครูเป็นบุคคลที่สำคัญที่จะคอยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ ส่งเสริมให้คิดบวก มีอิสระทางความคิด ไม่จำเป็นต้องมีอิสระทางร่างกายหรือมีอิสระทางพฤติกรรม เรียนรู้อย่างมีระเบียบวินัยในชั้นเรียน อีกทั้ง EQ เป็นสิ่งสำคัญทำให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข 3. กระบวนการศึกษาโดยเฉพาะการประเมินผล ผู้เรียนต้องได้รับการช่วยเหลือ สนับสนุนอย่างเต็มตามศักยภาพและความสามารถมากกว่าจะมาประเมินผลแล้วนำผลมาเปรียบเทียบจัดอันดับผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกไม่ดี ไม่เป็นการพัฒนาให้เกิดความสุขในตัวเองและในชั้นเรียน 4. ครูและผู้บริหารโรงเรียน ครูเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน ผู้เรียนสนใจเรียนในวิชานั้นๆ เพราะครู รักครู ผู้เรียนอยากทำตัวเป็นคนดี อยากทำทุกอย่างเพื่อที่ครูจะได้ชื่นชม ซึ่งครูคนที่ผู้เรียนรักไม่ใช่ครูที่ตามใจ แต่เป็นครูที่ทราบว่าเวลาใด ควรจะเข้มงวด เวลาใดควรจะอ่อนโยน และที่สำคัญครูต้องทำให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของตนเองเสมอ ผู้บริหารโรงเรียนจะเป็นผู้ให้การสนับสนุน ให้กำลังใจ และอำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ให้บรรลุผลสำเร็จ ให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนรู้  5. พ่อแม่ผู้ปกครองต้องเข้าใจศักยภาพของผู้เรียนและส่งเสริมตามความสามารถที่ผู้เรียนมี ไม่ควรคาดหวังและเคี่ยวเข็ญให้ผู้เรียนทำในสิ่งที่เขาทำไม่ได้และไม่อยากที่จะทำ

                    เนื่องจากเรื่องราวที่มากระทบความรู้สึก ถ้าต้องการให้จดจำได้นาน ควรเป็นเรื่องราวที่ทำให้ผู้เรียนมีความสุข ไม่เกิดความเบื่อหน่าย ดังนั้นในกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนมีความสุข ต้องมีความสนุกสนาน สร้างความประทับใจผู้เรียนมีเรื่องอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เน้นการลงมือกระทำ ทำให้ผู้เรียนจำได้ สนุกที่จะเรียนและมีความคิดในทางบวกต่อสิ่งที่กำลังเรียนรู้ เป็นการสอนแบบเรื่องราวหรือบูรณการที่เชื่อมโยงเรื่องราวหรือแนวคิด ให้สมองได้เห็นภาพการเชื่อมโยงของสิ่งที่เรียนรู้ในห้องเรียนกับความจริงในชีวิต จะให้ผู้เรียนจำได้และสนุกที่จะได้เรียนรู้มากขึ้น กระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจและเกิดความรักในสิ่งที่จะเรียนรู้

                   เมื่อผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข ย่อมเป็นแรงผลักดัน หรือแรงกระตุ้นให้ผู้เรียนมีแรงกาย แรงใจที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดี  เพื่อให้บุคคลที่อยู่รอบข้าง และสังคมรอบตัวมีความสุขไปพร้อมกัน ถ้าในระบบการศึกษาไทยสามารถจัดการศึกษาให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข และมีความสุขในการเรียนรู้แล้วการศึกษาไทยจะประสบผลสำเร็จแน่นอน เพราะผู้เรียนจะดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เป็นสมาชิกที่มีประสิทธิภาพ ประพฤติ ปฏิบัติในสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และพร้อมที่จะถ่ายทอดความสุขส่งต่อให้กับรุ่นลูกหลานสืบต่อไป
 
 
 
 
 

วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

The Progressive Paradigm (Textbook : Exemplars of Curriculum Theory)





















STEM ในการศึกษาไทย

        
                  การจัดการศึกษาไทยในปัจจุบันปีการศึกษา 2556 ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ซึ่งหลักสูตรฉบับนี้ได้มีการปรับปรุงมาจากหลักสูตรการศึกษาขึ้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 เพียงเล็กน้อย นับแล้วเป็นระยะเวลา12ปีสำหรับการใช้หลักสูตรการศึกษาฉบับนี้ โดยทั่วโลกจะมีการเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานทุก10ปี ดังนั้นถึงเวลาของการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาไทยให้เป็นไปตามความโลกาภิวัฒน์ เปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบการสอนของครู และรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนเพื่อเตรียมความพร้อมของผู้เรียนให้อยู่ในศตวรรษที่21ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประเด็นนี้ทำให้ผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาไทยไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ ครู อาจารย์ ผู้เรียน ผู้ปกครองต่างรอคอยการเปิดตัวของหลักสูตรการศึกษาใหม่ที่กำลังจะมาถึง  
                      ในปัจจุบันหลักสูตรการศึกษามีการจัดแบ่งเป็น 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้  สำหรับการปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ได้ร่างหลักสูตรใหม่มีการยุบรวมเหลือ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้แก่ 1.ภาษาและวัฒนธรรม (Language and Culture) 2.วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) 3.การดำรงชีวิตและโลกของงาน (Work Life) 4.ทักษะสื่อและการสื่อสาร (Media Skill and Communication) 5.สังคมและมนุษยศาสตร์ (Society and Humanity) 6.อาเซียน ภูมิภาคและโลก (Asean Region and World) อีกทั้งเน้นให้ผู้เรียนเกิดทักษะที่หลากหลาย ได้แก่ มีความคิดสร้างสรรค์ มีวิธีการทำงานแบบใหม่ สามารถคิดวิเคราะห์ สามารถแก้ปัญหาได้ สามารถสื่อสารและทำงานเป็นทีมร่วมกับผู้อื่นได้ ใช้เทคโนโลยีสื่อสารสนเทศได้ มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม ซึ่งเหล่านี้จะส่งผลให้ผู้เรียนอยู่ในสังคมโลกอย่างมีความสุข  และเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้เรียนให้ดียิ่งขึ้น   
                 เป็นโอกาสที่ดีของข้าพเจ้าที่ได้เข้าร่วมการประชุมปฏิบัติการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ.2555-2559 ของสสวท. โดยสสวท. เป็นองค์การที่ขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีให้ทัดเทียมกับนานาชาติ จึงได้รับมอบหมายให้ดำเนินการในหลักสูตรการศึกษาใหม่ กลุ่มสาระการเรียนรู้ STEM ซึ่ง S:Science(วิทยาศาสตร์)T:Technology(เทคโนโลยี)E:Engineering(วิศวกรรม)และM:Mathematics(คณิตศาสตร์)กล่าวคือ สะเต็มศึกษา (STEM Education) จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นการต่อยอดหลักสูตร เป็นการบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์เข้าด้วยกัน โดยเน้นการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริง รวมทั้งการพัฒนากระบวนการหรือผลผลิตใหม่ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต และการทำงาน  เช่น ในระดับประถมศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เชื่อมโยงให้เห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียนกับชีวิตจริง ตัวอย่างการตอบโจทย์การออมเงินในการเรียนเรื่องการ บวก ลบ คูณ หาร อาจจะเชิญเจ้าหน้าที่ธนาคารบริเวณใกล้เคียงโรงเรียนมาพูด อธิบายให้ผู้เรียนฟังเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินเพื่อให้มีเงินออม ต้องใช้ทักษะการบวก ลบ คูณ หารอย่างไร เพื่อให้เกิดความคุ้มค่า มีเงินออมเพื่อมาซื้อสิ่งของที่อยากได้ หรือมีเงินเก็บไว้ใช้ในอนาคต สิ่งนี้ทำให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักและเห็นความสำคัญของการเรียนคณิตศาสตร์   สะเต็มศึกษาจะส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมหรือโครงงานที่มุ่งแก้ไขปัญหาที่พบเห็นในชีวิตจริง เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ ทักษะชีวิต ความคิดสร้างสรรค์ นำไปสู่การสร้างนวัตกรรม ผู้เรียนที่มีประสบการณ์ในการทำกิจกรรมหรือโครงงานสะเต็มจะมีความพร้อมที่จะไปปฏิบัติงานที่ต้องใช้องค์ความรู้ และทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และเทคโนโลยีในภาคการผลิตและการบริการที่สำคัญต่ออนาคตของประเทศชาติ
                   จากสะเต็มศึกษา (STEM Education)  ทางสสวท. ได้เตรียมความพร้อมไว้ 3 ประเด็น ดังนี้ 1. STEM Academy เป็นศูนย์คำแนะนำการสอน การวิจัย แต่ไม่ใช่โรงเรียนกวดวิชาซึ่งอาจตั้งอยู่ในหมาวิทยาลัยหรือโรงเรียนใหญ่ๆ ของแต่ละจังหวัด STEM Ambassador ที่สามารถให้คำแนะนำกับครูในพื้นที่ได้รวมถึงคนที่ทำงานจริง เช่น วิศวกร แพทย์ เป็นต้น เพราะคนเหล่านี้จะอธิบายให้ครูฟังได้ถึงการประยุกต์ใช้ในศาสตร์ของ STEM 2. i-STEM เป็นผลิตภัณฑ์ในการเรียนรู้ เช่น คู่มือครู ตำรา สื่อการสอนต้องเป็น Digital ที่สามารถ Download ได้ง่าย เพื่อกระจายให้ทั่วถึงและรวดเร็ว เพราะวิธีการเดิมกว่าสิ่งพิมพ์จะทำเสร็จโรงเรียนก็ปิดเทอม และจะUpgradeอะไรก็ยาก ไม่ทันใช้งาน 3. STEM Hall of Fame พิพิธภัณฑ์รวบรวมให้ชนรุ่นหลังรู้จักผลงานของบุคคลสำคัญ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นต่อไปเลือกประกอบอาชีพในสายวิทยาศาสตร์มากขึ้น โดยต้องชี้ให้เห็นว่ามีอาชีพอะไรบ้างที่ทำได้
                   ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงการศึกษาของประเทศไทยที่กำลังจะเกิดขึ้น จะล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเล่มหลักสูตรการศึกษา  สิ่งสำคัญขึ้นอยู่กับผู้ที่นำหลักสูตรมาใช้และผู้เรียน  โดยSTEM เป็นหนึ่งในกลุ่มสาระการเรียนรู้ของหลักสูตรใหม่ จะบรรลุผลได้ ผู้สอนต้องจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้และตื่นตัว อีกทั้งการได้ลงมือปฏิบัติและแก้ปัญหาได้จริง ซึ่งเป็นการวางรากฐานที่สำคัญตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ต่อยอดไปสู่การเรียนในระดับมัธยมศึกษา และระดับมหาวิทยาลัย เพราะรากฐานที่ดีจะทำให้การเรียนรู้ในระดับบนมีปัญหาน้อยลง อีกทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมของผู้เรียนให้อยู่ในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 

วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ความหมายของหลักสูตร

- กมล สุดประเสริฐ (2516) หลักสูตร คือ หลักสูตรมิได้หมายความแต่เพียงหนังสือหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น แต่ยังมีความหมายถึงกิจกรรมและประสบการณ์ทั้งหลายที่จัดให้กับเด็ก ซึ่งรวบถึงการสอนของครูต่อนักเรียนด้วย
- กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2521)  หลักสูตร หมายถึง  ข้อกำหนดว่าด้วยจุดหมายแนวทางวิธีการและเนื้อหาสาระในการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน  เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้  ความสามารถ  ทัศนคติและพฤติกรรมตามที่กำหนดในจุดมุ่งหมายของการศึกษา
- สวัสดิ์  ประทุมราช  และคณะ (2521) หลักสูตร คือ แผนหรือแนวทางการจัดการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบโรงเรียนที่ชี้แนะให้ผู้บริหารการศึกษา  ครู  อาจารย์  ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาได้จัดประสบการณ์ทั้งมวลตามที่หลักสูตรกำหนด  เพื่อให้เยาวชนหรือพลเมืองของประเทศได้พัฒนาตนเองทั้งในด้านความรู้  ทักษะ  และคุณสมบัติอันพึงประสงค์ตามความมุ่งหมายของการจัดการศึกษาของชาติ
- สุมิตร คุณากร (2523 : 2 – 3) หลักสูตร คือ แนวทางการจัดการศึกษาของชาติเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถและคุณลักษณะตามที่สังคมประเทศชาติต้องการ ซึ่งเป็นไปตามปรัชญา ค่านิยมของคนในชาติ และนโยบายของประเทศ และหลักสูตร หมายถึง แนวทางของโรงเรียนที่จะจัดการศึกษาและบริหารการศึกษาเพื่อความเจริญงอกงามของนักเรียนทุกด้าน
- วิชัย วงษ์ใหญ่ (2525 : 3)  หลักสูตร คือ วิชาที่สอนซึ่งจะบ่งบอกความมุ่งหมาย ขอบข่ายเนื้อหา แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน แหล่งทรัพยากร และการประเมินผลให้กับครูผู้สอน      
- สงัด อุทรานันท์ (2532 : 12) หลักสูตร คือ เอกสารที่เขียนขึ้นอย่างเป็นทางการประกอบด้วยรายละเอียดของจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน รายละเอียดของเนื้อหาสาระและกิจกรรมการเรียนการสอน วิธีการวัดและประเมินผลการเรียน และเวลาที่ใช้ในการเรียน                    
 - ใจทิพย์ เชื้อรัตน์พงษ์ (2539) ได้สรุปความหมายของหลักสูตรออกเป็น 5 ประการซึ่งเรียกว่า “ SOPEA” โดยมีรายละเอียดดังนี้
               1. Curriculum as Subjects and Subject Matter   (หลักสูตรคือรายวิชาหรือเนื้อหาวิชาที่เรียน)
               2. Curriculum as Objectives  (หลักสูตรคือจุดหมายที่ผู้เรียนพึงบรรลุ)
               3. Curriculum as Plans (หลักสูตรคือแผนสำหรับจัดโอกาสการเรียนรู้ หรือประสบการณ์ที่คาดหวังแก่นักเรียน)
               4. Curriculum as Learners’ Experiences  (หลักสูตรคือประสบการณ์ทั้งปวงของผู้เรียนที่จัดโดยโรงเรียน)
               5. Curriculum as Educational Activities   (หลักสูตรคือกิจกรรมทางการศึกษาที่จัดให้กับผู้เรียน)                
- กาญจนา คุณารักษ์  (2540 : 2) หลักสูตร คือ แผนของการกำหนดชุดการเรียน แผนการออกแบบ โครงสร้างจุดหมาย การจัดเนื้อหาสาระ กิจกรรม และมวลประสบการณ์ในแต่ละโปรแกรมการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนมีการพัฒนาการในด้านคุณธรรม และจริยธรรม มีทัศนคติที่ดีต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อสังคม และให้มีทักษะที่จำเป็นในการดำรงชีวิตตามสภาพของสังคมขณะนั้นๆ ตามจุดหมายที่กำหนด
- ชมพันธุ์ กุญชร ณ อยุธยา (2540 : 3 – 5)  ได้ให้นิยามความหมายของหลักสูตรแบ่งออกเป็น  2  กลุ่มใหญ่ๆ  ได้ดังนี้
                1.หลักสูตร  หมายถึง  แผนประสบการณ์การเรียน  นักการศึกษาที่มีความคิดเห็นว่าประสบการณ์การเรียนนั้น  มองหลักสูตรที่เป็นเอกสารหรือโครงการของการศึกษาที่สถาบันการศึกษาไว้  วางแผนไว้  เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาตามแผนหรือโครงการที่กำหนดไว้  หลักสูตรตามความหมายนี้ หมายรวมถึง  แผนการเรียนหรือรายวิชาต่างๆ ที่กำหนดให้เรียนรวมทั้งเนื้อหาวิชาของรายวิชาต่างๆ กิจกรรมการเรียนการสอน และการประเมินผล ซึ่งได้กำหนดไว้ในแผนความคิดเห็นของนักการศึกษากลุ่มนี้ ไม่รวมถึงการนำหลักสูตรไปใช้หรือการเรียนการสอนที่ปฏิบัติจริง
                2. หลักสูตร  หมายถึง  ประสบการณ์การเรียนของผู้เรียน  ที่สถาบันการศึกษาจัดให้แก่ผู้เรียนประกอบด้วยจุดมุ่งหมาย  เนื้อหา  การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน  การประเมินผล
- สนอง ศิริกุลวัฒนา และรุจิร์ พุทธสร (2540 : 115) หลักสูตร คือ ประสบการณ์ทุกอย่างทั้งใน และนอกห้องเรียนที่โรงเรียนตั้งใจจัดให้ผู้เรียน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่พึงปรารถนาซึ่งเรียกว่าการเรียนรู้ หลักสูตรจึงหมายความรวมไปถึงกิจกรรมทุกอย่างที่โรงเรียนจัดขึ้น ไม่ว่าสถานที่หรือเวลาใดก็ตามเพื่อนักเรียน
- ธำรง บัวศรี (2542)  หลักสูตร  คือ  แผนซึ่งได้ออกแบบจัดทำขึ้นเพื่อแสดงถึงจุดหมาย  การจัดเนื้อหาสาระ กิจกรรม  และมวลประสบการณ์ในแต่ละโปรแกรมการศึกษา  เพื่อให้ผู้เรียนมีพัฒนาการในด้านต่างๆ  ตามจุดหมายที่ได้กำหนดไว้
- สงบ ลักษณะ (2542 : 29-32 ) หลักสูตร คือ มวลประสบการณ์ทั้งปวงชนที่จัดให้ผู้เรียนได้รับ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในแนวทางที่พึงปรารถนาทั้งพฤติกรรมความรู้ ความคิด ความสามารถ ทักษะ เจตคติ และค่านิยมต่างๆ
- ชูศรี  สุวรรณโชติ (2544 : 41) หลักสูตร คือ  ประมวลประสบการณ์ทุกชนิดที่ครูสร้างสรรค์ให้กับผู้เรียน  เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาตนเองให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสังคมอย่างมีความสุขและเจริญงอกงาม
- สำลี  รักสุทธี  (2544 : 10) หลักสูตร คือ  มวลประสบการณ์หรือกิจกรรมที่จัดให้แก่ผู้เรียนทั้งในและนอกห้องเรียนอันจะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้  เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม  ด้านความรู้  ความคิด  เจตคติ  และการปฏิบัติในทิศทางที่พึงประสงค์
- รุจิร์  ภู่สาระ (2545) หลักสูตร คือ แผนการเรียน ประกอบด้วยเป้าหมายและจุดประสงค์เฉพาะที่จะนำเสนอและจัดการเนื้อหา  รวมถึงแบบของการเรียนการสอนตามจุดประสงค์  และท้ายที่สุดจะต้องมีการประเมินผลของการเรียน
- Caswell & Campbell (1935) หลักสูตร คือ หลักสูตรที่ประกอบด้วยประสบการณ์ทุกอย่างที่จัดให้แก่เด็กโดยอยู่ในความดูแลและการสอนของครู
-Tyler (1949: 79) หลักสูตร คือ สิ่งที่เด็กจะต้องเรียนรู้ทั้งหมด โดยมีโรงเรียนเป็นผู้วางแผนและกำกับเพื่อให้บรรลุถึงจุดหมายของการศึกษา
- Philiip H. Phinix (1958) หลักสูตร คือ รูปแบบที่จัดขึ้นสำหรับโปรแกรมการศึกษาของโรงเรียน
- Taba (1962 : 10-11) หลักสูตรคือ แผนการเรียนรู้ที่ประกอบด้วยจุดประสงค์ และจุดหมายเฉพาะการเลือกและการจัดเนื้อหา วิธีการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผล
- Neagley and Evans (1967)  หลักสูตร คือประสบการณ์ที่โรงเรียนจัดเพื่อช่วยให้นักเรียนได้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ตามความสามารถของนักเรียน
- Shaver&Berlak (1968)  หลักสูตร คือ กิจกรรมที่ครูจัดให้นักเรียนได้เล่นเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้
- Foshay (1970)  หลักสูตร คือ  วิชาการและกิจกรรมพิเศษ ซึ่งได้รับความสนใจมากที่สุด ปัญหาการมีส่วนร่วมในการตัดสินปัญหาสังคม และกิจกรรมที่สัมพันธ์กับการพัฒนาตนเอง
- Johnson (1970)  หลักสูตร เกี่ยวข้องไม่เฉพาะกับสิ่งที่นักเรียนจะต้องกระทำในสถานการณ์การเรียนรู้เท่านั้น  แต่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาจะต้องเรียนรู้  (หรือสามารถทำได้)  อันเป็นผลมาจากสิ่งที่เขากระทำด้วย  หลักสูตร  ได้แก่  สิ่งที่เป็นผลตามมา  ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น หลักสูตรเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความคาดหวังหรือความตั้งใจ  และถ้าจะกล่าวให้เฉพาะลงไปอีกก็คือ  มันเกี่ยวกับผลการเรียนรู้ที่ตั้งใจเอาไว้  และมุ่งหวังจะให้บรรลุโดยผ่านทางการสอน  นั่นคือ  ผ่านทางประสบการณ์ที่จัดให้ ผ่านทางสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่ผู้เรียนจะกระทำ
- Lavatelli and others (1972 : 1-2) หลักสูตร คือ  ชุดของการเรียนและประสบการณ์สำหรับเด็ก ซึ่งโรงเรียนวางแผนไว้เพื่อให้เด็กบรรลุถึงจุดหมายของการศึกษา
- Lewis and Miel (1972: 72) หลักสูตรนอกจากจะหมายถึงเอกสารหลักสูตรแล้วยังหมายถึง กระบวนการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างนักเรียน ครู เนื้อหาสาระ ยุทธวิธี  การสอน การกำหนดเป้าหมาย การประเมินผล ซึ่งหมายถึงสิ่งแวดล้อมทางการเรียน นั่นเอง
- Babbit (1973 : 42) หลักสูตรคือ รายการของสิ่งต่างๆ ที่เด็กและเยาวชนต้องทำ และมีประสบการณ์ด้วยวิธีการพัฒนาความสามารถในการทำ สิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวให้ดี เพื่อสามารถดำรงชีวิตในวัยผู้ใหญ่ได้
- Good (1973 : 157) หลักสูตรคือ กลุ่มรายวิชาที่จัดไว้อย่างมีระบบ หรือลำดับวิชาที่บังคับสำหรับการจบการศึกษา หรือเพื่อรับประกาศนียบัตรในสาขาวิชาหลักๆ   
- Posner (1974) หลักสูตร คือ สิ่งที่ 1. กำหนดผลิตผล 2. กำหนดสาระไว้ก่อนการสอน  3. ระบุลักษณะที่ต้องการ
- Saylor & Alexander (1974 : 6) หลักสูตร คือ แผนสำหรับจัดโอกาสการเรียนรู้ให้แก่บุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อบรรลุเป้าหมายหรือจุดหมายที่วางไว้ โดยมีโรงเรียนเป็นผู้รับผิดชอบ
-  Wheeler (1974 : 11)   หลักสูตร คือ ประสบการณ์ทั้งปวงของผู้เรียนที่จัดโดยโรงเรียน (Curriculum as  Learners  Experiences)
- Doll (1978)  หลักสูตร คือ เนื้อหาและกระบวนการที่เป็นทางการ และไม่เป็น  ทางการที่ทำให้ผู้เรียนได้รับความรู้และความเข้าใจ  พัฒนาทักษะต่างๆและเปลี่ยนเจตคติ ความซาบซึ้ง และความนิยมภายใต้การดูแลของโรงเรียน         
- Crow & Crow  (1980) หลักสูตร คือ ประสบการณ์ที่นักเรียนได้รับทั้งภายในและ   ภายนอกของโรงเรียนเพื่อให้นักเรียนมีการพัฒนาด้านร่างกาย  สังคม  ปัญญา  และจิตใจ 
- Hass (1980) หลักสูตร คือ มวลประสบการณ์ที่ผู้เรียนได้รับจากโปรแกรมการศึกษา ซึ่งจัดขึ้นเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยอาศัยกรอบของทฤษฎีและงานวิจัยทั้งในอดีตและปัจจุบันเป็นพื้นฐาน
- Tanner & Tanner (1980) หลักสูตร คือ  เป็นการสร้างความรู้และประสบการณ์  โดยพัฒนาขึ้นมาอย่างเป็นระบบภายใต้ความดูแลของโรงเรียน(หรือมหาวิทยาลัย) เพื่อช่วยผู้เรียนสามารถเพิ่มการควบคุมความรู้ และประสบการณ์ของเขา
- Trump and Miller (1980 : 12) หลักสูตร  คือ กิจกรรมการเรียนการสอนวิชาต่าง ๆที่เตรียมการไว้ และจัดให้แก่นักเรียนโดยโรงเรียนหรือระบบโรงเรียน
- Beauchamp (1981) ได้กล่าวถึงความหมายของหลักสูตรไว้ ว่าความหมายของหลักสูตรก็จะมีขอบเขตอยู่ 3 ขอบเขต คือ
        1.   หลักสูตรในฐานะของศาสตร์แขนงหนึ่งในสาขาวิชาศึกษาศาสตร์
        2.   หลักสูตรในฐานะของข้อกำหนดเกี่ยวกับการเรียนการสอนที่เขียนขึ้นอย่างเป็นทางการ
        3.   หลักสูตรในฐานะของระบบการทำงานที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตร
- Beane & others (1986 : 34 - 35)  สรุปความหมายของหลักสูตรไว้โดยใช้เกณฑ์ความเป็นรูปธรรม(Concrete) ไปสู่นามธรรม  (Abstract)  และจากการยึดโรงเรียนเป็นศูนย์กลาง (School - centered) ไปสู่การยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner - centered) โดยได้อธิบายไว้  ดังนี้
         1.  หลักสูตร  คือ  ผลผลิตที่เกิดขึ้นจากกระบวนการจัดการศึกษา  (Curriculum as product)
         2.  หลักสูตร  คือ  โครงการหรือแผนการในการจัดการศึกษา  (Curriculum as program)
         3.  หลักสูตร  คือ  การเรียนรู้ที่กำหนดไว้อย่างมีความหมาย  (Curriculum as intended learning)
         4.  หลักสูตร  คือ  ประสบการณ์ของผู้เรียน  (Curriculum as experience of the learner)        
-  Oliva (1992 : 8 – 9)  ได้ให้นิยามความหมายของหลักสูตร  โดยแบ่งเป็น
        1. การให้นิยามโดยยึดจุดประสงค์  (Purpose)  หลักสูตร  จึงมีภาระหน้าที่ที่จะทำให้ผู้เรียนควรจะเป็นอย่างไร  หรือมีลักษณะอย่างไร หลักสูตรแนวคิดนี้จึงมีความหมายในลักษณะที่เป็นวิธีการ  ที่นำไปสู่ความสำเร็จตาม  จุดประสงค์หรือจุดมุ่งหมาย  เช่น  หลักสูตร  คือ  การถ่ายทอด  มรดกทางวัฒนธรรม  หลักสูตร  คือ  การพัฒนาทักษะการคิดของผู้เรียน เป็นต้น
       2. การให้นิยามโดยยึดบริบทหรือสภาพแวดล้อม  (Contexts)  นิยามหลักสูตรในลักษณะนี้  เป็นการอธิบายถึงลักษณะทั่วไปของหลักสูตร  ซึ่งแล้วแต่ว่าเนื้อหาสาระของหลักสูตรมีลักษณะเป็นอย่างไร  เช่น  หลักสูตรที่ยึดเนื้อหาวิชา  หลักสูตรที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางหลักสูตรเพื่อการปฏิรูปสังคม  เป็นต้น
       3. การให้นิยามโดยยึดวิธีดำเนินการหรือยุทธศาสตร์ (Strategies) เป็นการให้นิยามหลักสูตร  ในเชิงวิธีดำเนินการที่เป็นกระบวนการ  ยุทธศาสตร์หรือเทคนิควิธีการที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน  เช่น
หลักสูตร  คือ  กระบวนการแก้ปัญหา  หลักสูตร  คือ  การทำงานกลุ่ม  หลักสูตร  คือ  การเรียนรู้รายบุคคล  หลักสูตร  คือ  โครงการหรือแผนการจัดการเรียนการสอน  เป็นต้น
- Parkay & Hass (1993) หลักสูตร คือ ประสบการณ์ทั้งหมดที่โรงเรียนจัดให้ ผู้เรียนเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตทั้งที่อยู่ในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
- Sowell (1996 : 5)  หลักสูตร คือ การสอนอะไรให้กับผู้เรียน  ซึ่งมีความหมายที่กว้างขวาง  ที่รวมทั้งข้อมูลข่าวสาร ทักษะ และ ทัศนคติ  ทั้งที่ได้กำหนดไว้และไม่ได้กำหนดไว้ให้แก่ผู้เรียนในสถานศึกษา

สรุปความหมายของหลักสูตร
  หลักสูตร คือ ข้อกำหนดที่แสดงถึงจุดหมาย แนวทาง เนื้อหาสาระ และมวลประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถ และคุณลักษะอันพึงประสงค์ตามที่จุดหมายกำหนด

 เอกสารอ้างอิง           
กรมวิชาการ  กระทรวงศึกษาธิการ (2521). หลักสูตรใหม่. กรุงเทพฯ: กรมศาสนา.
ใจทิพย์ เชื้อรัตน์พงษ์. (2539). การพัฒนาหลักสูตร:หลักการและปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: อลีนเพรส.
ธวัชชัย ชัยจิรฉายากุล.(2529). การพัฒนาหลักสูตรจากแนวคิดสู่การปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: อักษรบัณฑิต.
ธำรง บัวศรี. (2542). ทฤษฎีหลักสูตร การออกแบบและการพัฒนา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: บริษัทธนธัชการพิมพ์.
รุจิร์ ภู่สาระ. (2545). การพัฒนาหลักสูตร: ตามแนวปฏิรูปการศึกษา. กรุงเทพฯ: บุ๊ค พอยท์.
วิชัย ดิสสระ. (2535). การพัฒนาหลักสูตรและการสอน. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น.
วิชัย วงษ์ใหญ่. (2525). พัฒนาหลักสูตรและการสอนมิติใหม่. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: ธเนศวรการพิมพ์.
สงบ ลักษณะ. (2542, พฤษภาคม-2543, มีนาคม). ปฏิรูปหลักสูตรที่สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ. วารสารกองการศึกษาเพื่อคนพิการ. 1(ฉบับปฐมฤกษ์): 29-32.
สงัด  อุทรานันท์. (2532). พื้นฐานและหลักการพัฒนาหลักสูตร. กรุงเทพฯ: มิตรสยาม.
สวัสดิ์ ประทุมราช และคณะ. (2521). การศึกษาความสอดคล้องระหว่างหลักสูตรประถมศึกษา. กรุงเทพฯ: (มปท)
สุมิตร คุณานุกร. (2523). หลักสูตรและการสอน. กรุงเทพฯ: ชวนพิมพ์.    
http://www.dese.state.mu.us/divinstr/curriculum/
http://www.dpi.state.wi.us/dpi/dlsis/currinst.html
http://www.edu.cmu.ac.th/~soontaree/Pdf/meaning700.pdf
http://www.fim.edu/doe/curric/
http://www.gotoknow.org/blog/boonklansoon/30843
http://www.krusmart.com/work/curri1.pdf
http://www.K12.dc.us/DCPS/curriculum/curriculum_frame.html


 

 

มารู้จักกับ TPK model


                  ทุกคนย่อมต้องการความเจริญก้าวหน้าในชีวิต โดยเฉพาะชีวิตในวัยทำงานเป็นช่วงที่มีระยะเวลายาวนานที่สุดประมาณ 40 ปี  ดังนั้นทุกคนย่อมดิ้นร้น ต่อสู้ พัฒนาตนเองเพื่อไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีตำแหน่งหรือระดับเงินเดือนที่สูงขึ้น ตามหลักความต้องการของ Abraham Maslow ในขั้น Self-actualization Needs ที่ต้องการความสำเร็จ หรือความต้องการเติมความสมบูรณ์ให้ชีวิต
                   ข้าราชการครูก็เป็นอาชีพหนึ่งที่มีตำแหน่งทางวิชาการให้ครูหลายคนได้ไขว่คว้า หรือ  ที่เรียกว่า “การเลื่อนวิทยฐานะ”เป็นประเด็นที่ทำให้ครูต้องรีบเร่งทำผลงาน เพื่อให้ได้สิ่งนี้มาครอบครอง คือ ทั้งชื่อตำแหน่งทางวิชาการ และเงินประจำตำแหน่งที่ช่วยเพิ่มรายได้ของครูมากพอสมควรแต่การได้มาซึ่งวิทยฐานะกลับสร้างปัญหาให้กับระบบการประเมินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเนื่องจากครูใช้เวลาราชการในการสอนไปทำผลงาน ต้องละทิ้งการสอน ไม่สนใจผู้เรียนหรือจ้างบุคคล ทีมงานทำผลงานโดยที่ตนเองไม่ได้มีส่วนร่วมกับงาน แต่เป็นผู้จ่ายเงินเพียงอย่างเดียว สาเหตุนี้ทำให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องคิดหาวิธีการเพื่อแก้ไขปัญหาในข้างต้น
                   เมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้เข้าร่วมการประชุมปฏิบัติการระดมความคิดเรื่องการพิจารณาหลักเกณฑ์และพัฒนาคู่มือการประเมินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีรูปแบบ TPK model  และในสัปดาห์ที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้เข้าร่วมการประชุมพิจารณากรอบการประเมินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อให้มีและเลื่อนวิทยฐานะตามรูปแบบ TPK model เป็นการประชุมต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เลือกใช้ TPK model (Theoretical Knowledge :TK, Pedagogical Knowledge : PK) มาเป็นรูปแบบในการประเมิน มี 2 สมรรถนะที่ต้องประเมินดังนี้ 1.สมรรถนะทางวิชาการ (Academic/Theoretical Competency) ครูผู้สอนที่ขอวิทยฐานะ ต้องมีความรู้ ความสามารถในศาสตร์ที่สอน 2.สมรรถนะการสอนของครู (Pedagogical Competency)  ซึ่งตัวชี้วัดความสำเร็จของทั้ง 2 สมรรถนะนี้ คือ ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน (Student Achievement) เป็นผลการทดสอบระดับชาติที่เกิดจากการสอนของครูที่ขอวิทยฐานะว่าผ่านเกณฑ์ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้หรือไม่  และแบ่งสิ่งที่ต้องประเมินออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1. การทดสอบด้านความรู้ในเนื้อหาและด้านการจัดการเรียนการสอน   2.ด้านการพัฒนาผู้เรียนให้พิจารณาจากคะแนน O-NET 3.รายงานกระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ประกอบด้วยข้อมูลของครูผู้ขอวิทยฐานะ วิธีการดำเนินการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ผลการดำเนินการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน  และผลการพัฒนาผู้เรียนด้านอื่นๆ  สรุปได้ว่ารูปแบบ TPK model  เป็นการประเมินวิทยฐานะด้วยวิธีการสอบ โดยใช้แบบทดสอบ เพื่อวัดความรู้ ความสามารถที่แท้จริงของครูผู้ขอวิทยฐานะ
                   สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เข้าร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ในการออกแบบการประเมินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งแบบทดสอบจะประกอบด้วยด้านเนื้อหา ความรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่สอนคิดเป็น 60%  และด้านการจัดการเรียนการสอน หลักการ ทฤษฎีเกี่ยวกับหลักสูตรและการสอน วิธีการสอนและเทคนิคการสอน การใช้ทักษะและกระบวนการ ทักษะการแก้ปัญหาเมื่อพบสถานการณ์ต่างๆ ในการสอน ความเข้าใจในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ทักษะการประเมินผลการเรียนรู้แบบต่างๆ  การสร้างเครื่องมือ เกณฑ์ในการวัดและประเมินผลคิดเป็น 40% ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นครูผู้สอนคณิตศาสตร์จึงได้มีส่วนร่วมในการกำหนดขอบข่ายของแบบทดสอบด้านความรู้ในเนื้อหากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์  มีความเข้มข้นของเนื้อหา ความรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์จะแตกต่างกันตามระดับชั้นที่สอนของครูที่ขอวิทยฐานะ แบ่งได้ดังนี้ 1.ระดับประถมศึกษาสอบเนื้อหาระดับ ป.1-6  80%  ระดับ ม.1-3  20%  2.ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นสอบเนื้อหาระดับ ม.1-3  80%  ระดับ ม.4-6  20%  3.ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสอบเนื้อหาระดับ ม.4-6  80%  ระดับปริญญาตรีปี 1  20%  ผลการประเมินวิทยฐานะในแต่ละระดับจะใช้เกณฑ์ที่แตกต่างกัน  มีหลักเกณฑ์การตัดสิน คือ ครูชำนาญการ ต้องสอบผ่านร้อยละ 60 ขึ้นไป  ครูชำนาญการพิเศษ ต้องสอบผ่านร้อยละ 70 ขึ้นไป  ครูเชี่ยวชาญ ต้องสอบผ่านร้อยละ 80 ขึ้นไป และครูเชี่ยวชาญพิเศษ ต้องสอบผ่านร้อยละ 85 ขึ้นไป  ผลของคะแนนสอบส่วนนี้จะถูกนำไปพิจารณาร่วมกับสมรรถนะการสอนของครูและผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนอีกขั้นตอนหนึ่ง
                   ดังนั้นการใช้ TPK model คงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับครูผู้สอนที่ทุ่มเท ตั้งใจ หมั่นศึกษาหาความรู้ในศาสตร์ที่ตนสอน มาจัดกิจรรมการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์การทดสอบระดับชาติ O-NET ตามเงื่อนไขที่กำหนด  และหวังว่าครูจะใช้เวลาในการศึกษา ค้นคว้ามาพัฒนาวิธีการสอนของตนมากกว่าการมานั่งทำผลงานทางวิชาการกองโตที่ไม่ได้ส่งผลต่อผู้เรียนอย่างแท้จริง