เช้าตรู่วันอังคารระหว่างที่ข้าพเจ้านั่งตรวจการบ้านนักเรียนอยู่ ทันใดนั้นมีเสียงเรียกครูจ๊อยส์ ครูจ๊อยส์ ดังขึ้น“ครูจ๊อยส์...ดูนี่สิ บัตรเครดิตที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนมี 8 ใบ พี่หมุนเงินไม่ทันแล้ว เงินเดือนแต่ละเดือนของพี่แทบจะไม่เหลือ
ตอนนี้คนที่พี่ค้ำประกันเงินกู้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูก็ไม่จ่ายค่างวด พี่ต้องชดใช้ให้เค้า พี่ไม่มีกระจิตกระใจจะสอนหนังสือเลย
พี่ไม่อยากทำอะไรแล้ว พี่เครียดมาก”
จากประโยคนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้ฉุกคิดและหันไปมองเพื่อนๆครูรอบข้างอีกหลายคนกับปัญหาเรื่องเงินในทุกๆ
สิ้นเดือน ส่วนมากครูแต่ละคนจะได้รับเงินเดือนไม่เต็มตามที่ตนได้รับ ถูกหักค่ากบข. ค่าสหกรณ์ออมทรัพย์ครู ค่าชพค. ค่าผ่อนบ้านกับธนาคารอาคารสงเคราะห์
ฯลฯ ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนที่ถูกหักในสลิปเงินเดือนที่ออกจากทางโรงเรียนเท่านั้น ส่วนที่นอกเหนือจากนี้
คงเป็นใบแจ้งทวงหนี้จากธนาคารและบัตรเครดิตต่างๆ อีก เหล่านี้เป็นตัวจุดประกายประเด็นคำถามสำหรับข้าพเจ้า
“ใคร...
อะไร...ทำไม... ทำให้ครูมีหนี้สิน” จากสถานการณ์และสภาพสังคมของ “ครู” ในประเทศไทยมีผู้ประกอบอาชีพครูเกือบ5 แสนคน และน่าจะมีครูไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ที่เป็นหนี้ เมื่อพิจารณา พบว่าปัญหาหนี้สินเป็นตัวแปรสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงานของครู แทนที่ครูจะใช้เวลาของตนในการจัดเตรียมการสอน ออกแบบกิจกรรมเรียนการสอน และปฏิบัติหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ กลับนำเวลาไปคิดหาวิธีการกู้หนี้ยืมสิน วิธีการปลดหนี้ นำเงินยอดนั้นมาทบยอดนี้ ทั้งในระบบและนอกระบบ ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของครูต่อสายตาสังคมปัจจุบัน ซึ่งปัญหาหรือจุดเริ่มต้นของหนี้สินครูอาจมาจากหลายสาเหตุดังต่อไปนี้ มาจากรายได้ของครูที่ไม่สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี อัตราค่าของและค่าบริการต่างๆที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนมากผู้ที่เป็นครูอยากเป็น “ข้าราชการ” มีสวัสดิการดี สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาล มีบำนาญ และมาจากครอบครัวที่มีฐานะปานกลางไปจนถึงยากจน ทำให้บางคนเริ่มมีหนี้สินตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นครู เริ่มตั้งแต่สมัยเรียน ทางครอบครัวไม่มีทุนการศึกษาที่สามารถสนับสนุน จึงต้องกู้เพื่อการศึกษา ครูบางคนเสียค่าใช้จ่ายกับการสร้างครอบครัวใหม่ ครูบางคนถึงกับกู้เงินเพื่อจัดงานแต่งงาน ซึ่งเป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งกับครอบครัวใหม่ อีกทั้งอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีหน้ามีตา มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีในสังคม เป็นที่ยอมรับของทุกคน ดังนั้นผู้เป็นครูจึงต้องจัดหาปัจจัยสิ่งอำนวยความสะดวกต่อการดำเนินชีวิต ตั้งแต่เครื่องอุปโภค สาธารณูปโภค โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์พกพา ไปจนถึงหนี้สินก้อนใหญ่เพื่อซื้อยานพาหนะ ซื้อที่ดินในภูมิลำเนาของตน ตลอดจนบ้าน หรือที่อยู่อาศัย เมื่อรายได้ต่ำแต่ต้องสร้างฐานะความพร้อมของตน หรือครอบครัวใหม่ ครูจึงวิ่งเต้นกู้หนี้ยืมสินจากแหล่งเงินกู้ทั้งในและนอกระบบ ส่งผลให้ครูเกิดภาระหนี้สินจำนวนมาก และอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญที่สุด คือ ครูใช้จ่ายไปกับความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยจนเกินตัวเกินรายได้ของตน ขาดจิตสำนึกในการดำเนินชีวิตอยู่อย่างพอเพียง หลงใหลในความเจริญทางวัตถุ และอบายมุข
ไม่ว่าทางรัฐบาลจะช่วยครูในการแก้ปัญหาหนี้สินครู โดยจัดโครงการปลดหนี้ หรือปรับเพิ่มอัตราเงินเดือน เหล่านี้ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง ดังนั้นปัญหาหนี้สินครูจะไม่ทวีวงกว้างออกไป ถ้าครูแต่ละคนรวมถึงข้าพเจ้ามีสันโดษการพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ตามหลักทางพระพุทธศาสนา ซึ่งแบ่งสันโดษออกเป็น 3 ประเภทดังนี้ คือ 1.ยถาลาภสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามมีตามเกิด คือมีแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น เป็นอยู่อย่างไรก็ควรจะพอใจ ไม่คิดน้อยเนื้อต่ำใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ 2.ยถาพลสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามกำลัง เรามีกำลังแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น ตั้งแต่กำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังบารมี หรือกำลังความสามารถเป็นต้น 3.ยถาสารูปสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามควร ซึ่งโยงใยไปถึงความพอเหมาะพอควรในหลายๆ เรื่อง เช่นรูปลักษณ์ของตนเอง และรวมทั้งฐานะที่เราเป็นอยู่ ซึ่งหลักธรรมนี้เป็นแนวทางหนึ่งที่จะหยุดปัญหาหนี้สินครู
ดังนั้นปัญหาหนี้สินครูจะลดลง หรือหมดไปจากนิสัยของครูไทยได้นั้น ครูต้องพยายามอย่าให้เงินมีอำนาจเหนือทุกอย่าง อย่าให้เงินบันดาลทุกอย่างให้เรา อย่าให้เงินเป็นสิ่งที่แสดงความยิ่งใหญ่ และอย่าให้เงินเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์มีความสุข
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น