วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ใคร...อะไร...ทำไม... ทำให้ครูมีหนี้สิน


                   เช้าตรู่วันอังคารระหว่างที่ข้าพเจ้านั่งตรวจการบ้านนักเรียนอยู่ ทันใดนั้นมีเสียงเรียกครูจ๊อยส์ ครูจ๊อยส์ ดังขึ้นครูจ๊อยส์...ดูนี่สิ บัตรเครดิตที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนมี 8 ใบ  พี่หมุนเงินไม่ทันแล้ว เงินเดือนแต่ละเดือนของพี่แทบจะไม่เหลือ ตอนนี้คนที่พี่ค้ำประกันเงินกู้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูก็ไม่จ่ายค่างวด  พี่ต้องชดใช้ให้เค้า พี่ไม่มีกระจิตกระใจจะสอนหนังสือเลย พี่ไม่อยากทำอะไรแล้ว พี่เครียดมาก
                   จากประโยคนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้ฉุกคิดและหันไปมองเพื่อนๆครูรอบข้างอีกหลายคนกับปัญหาเรื่องเงินในทุกๆ สิ้นเดือน ส่วนมากครูแต่ละคนจะได้รับเงินเดือนไม่เต็มตามที่ตนได้รับ  ถูกหักค่ากบข. ค่าสหกรณ์ออมทรัพย์ครู  ค่าชพค. ค่าผ่อนบ้านกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ฯลฯ ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนที่ถูกหักในสลิปเงินเดือนที่ออกจากทางโรงเรียนเท่านั้น  ส่วนที่นอกเหนือจากนี้ คงเป็นใบแจ้งทวงหนี้จากธนาคารและบัตรเครดิตต่างๆ อีก  เหล่านี้เป็นตัวจุดประกายประเด็นคำถามสำหรับข้าพเจ้า  ใคร... อะไร...ทำไม... ทำให้ครูมีหนี้สิน
                   จากสถานการณ์และสภาพสังคมของ ครูในประเทศไทยมีผู้ประกอบอาชีพครูเกือบ5 แสนคน และน่าจะมีครูไม่น้อยกว่าร้อยละ 80  ที่เป็นหนี้ เมื่อพิจารณา พบว่าปัญหาหนี้สินเป็นตัวแปรสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงานของครู แทนที่ครูจะใช้เวลาของตนในการจัดเตรียมการสอน ออกแบบกิจกรรมเรียนการสอน และปฏิบัติหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ กลับนำเวลาไปคิดหาวิธีการกู้หนี้ยืมสิน  วิธีการปลดหนี้  นำเงินยอดนั้นมาทบยอดนี้ ทั้งในระบบและนอกระบบ ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของครูต่อสายตาสังคมปัจจุบัน  ซึ่งปัญหาหรือจุดเริ่มต้นของหนี้สินครูอาจมาจากหลายสาเหตุดังต่อไปนี้  มาจากรายได้ของครูที่ไม่สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี อัตราค่าของและค่าบริการต่างๆที่เพิ่มมากขึ้น   ส่วนมากผู้ที่เป็นครูอยากเป็น ข้าราชการมีสวัสดิการดี สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาล มีบำนาญ และมาจากครอบครัวที่มีฐานะปานกลางไปจนถึงยากจน  ทำให้บางคนเริ่มมีหนี้สินตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นครู เริ่มตั้งแต่สมัยเรียน ทางครอบครัวไม่มีทุนการศึกษาที่สามารถสนับสนุน จึงต้องกู้เพื่อการศึกษา  ครูบางคนเสียค่าใช้จ่ายกับการสร้างครอบครัวใหม่ ครูบางคนถึงกับกู้เงินเพื่อจัดงานแต่งงาน ซึ่งเป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งกับครอบครัวใหม่  อีกทั้งอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีหน้ามีตา มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีในสังคม เป็นที่ยอมรับของทุกคน ดังนั้นผู้เป็นครูจึงต้องจัดหาปัจจัยสิ่งอำนวยความสะดวกต่อการดำเนินชีวิต ตั้งแต่เครื่องอุปโภค สาธารณูปโภค โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์พกพา  ไปจนถึงหนี้สินก้อนใหญ่เพื่อซื้อยานพาหนะ ซื้อที่ดินในภูมิลำเนาของตน  ตลอดจนบ้าน หรือที่อยู่อาศัย เมื่อรายได้ต่ำแต่ต้องสร้างฐานะความพร้อมของตน หรือครอบครัวใหม่  ครูจึงวิ่งเต้นกู้หนี้ยืมสินจากแหล่งเงินกู้ทั้งในและนอกระบบ ส่งผลให้ครูเกิดภาระหนี้สินจำนวนมาก และอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญที่สุด  คือ ครูใช้จ่ายไปกับความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยจนเกินตัวเกินรายได้ของตน  ขาดจิตสำนึกในการดำเนินชีวิตอยู่อย่างพอเพียง หลงใหลในความเจริญทางวัตถุ และอบายมุข
                   ไม่ว่าทางรัฐบาลจะช่วยครูในการแก้ปัญหาหนี้สินครู โดยจัดโครงการปลดหนี้ หรือปรับเพิ่มอัตราเงินเดือน เหล่านี้ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง ดังนั้นปัญหาหนี้สินครูจะไม่ทวีวงกว้างออกไป ถ้าครูแต่ละคนรวมถึงข้าพเจ้ามีสันโดษ
การพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ตามหลักทางพระพุทธศาสนา ซึ่งแบ่งสันโดษออกเป็น 3 ประเภทดังนี้ คือ 1.ยถาลาภสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามมีตามเกิด คือมีแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น เป็นอยู่อย่างไรก็ควรจะพอใจ ไม่คิดน้อยเนื้อต่ำใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่  2.ยถาพลสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามกำลัง เรามีกำลังแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น ตั้งแต่กำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังบารมี หรือกำลังความสามารถเป็นต้น 3.ยถาสารูปสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามควร ซึ่งโยงใยไปถึงความพอเหมาะพอควรในหลายๆ เรื่อง เช่นรูปลักษณ์ของตนเอง และรวมทั้งฐานะที่เราเป็นอยู่  ซึ่งหลักธรรมนี้เป็นแนวทางหนึ่งที่จะหยุดปัญหาหนี้สินครู 
                   ดังนั้นปัญหาหนี้สินครูจะลดลง หรือหมดไปจากนิสัยของครูไทยได้นั้น ครูต้องพยายามอย่าให้เงินมีอำนาจเหนือทุกอย่าง  อย่าให้เงินบันดาลทุกอย่างให้เรา  อย่าให้เงินเป็นสิ่งที่แสดงความยิ่งใหญ่  และอย่าให้เงินเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์มีความสุข  


   
                         

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น