การจัดการศึกษาไทยในปัจจุบันปีการศึกษา 2556 ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ซึ่งหลักสูตรฉบับนี้ได้มีการปรับปรุงมาจากหลักสูตรการศึกษาขึ้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 เพียงเล็กน้อย นับแล้วเป็นระยะเวลา12ปีสำหรับการใช้หลักสูตรการศึกษาฉบับนี้ โดยทั่วโลกจะมีการเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานทุก10ปี ดังนั้นถึงเวลาของการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาไทยให้เป็นไปตามความโลกาภิวัฒน์
เปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบการสอนของครู และรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนเพื่อเตรียมความพร้อมของผู้เรียนให้อยู่ในศตวรรษที่21ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประเด็นนี้ทำให้ผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาไทยไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ ครู อาจารย์ ผู้เรียน ผู้ปกครองต่างรอคอยการเปิดตัวของหลักสูตรการศึกษาใหม่ที่กำลังจะมาถึง
ในปัจจุบันหลักสูตรการศึกษามีการจัดแบ่งเป็น
8 กลุ่มสาระการเรียนรู้
สำหรับการปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ได้ร่างหลักสูตรใหม่มีการยุบรวมเหลือ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้แก่ 1.ภาษาและวัฒนธรรม (Language
and Culture) 2.วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM)
3.การดำรงชีวิตและโลกของงาน (Work Life) 4.ทักษะสื่อและการสื่อสาร
(Media Skill and Communication) 5.สังคมและมนุษยศาสตร์ (Society
and Humanity) 6.อาเซียน ภูมิภาคและโลก (Asean Region and
World) อีกทั้งเน้นให้ผู้เรียนเกิดทักษะที่หลากหลาย
ได้แก่ มีความคิดสร้างสรรค์ มีวิธีการทำงานแบบใหม่ สามารถคิดวิเคราะห์
สามารถแก้ปัญหาได้ สามารถสื่อสารและทำงานเป็นทีมร่วมกับผู้อื่นได้
ใช้เทคโนโลยีสื่อสารสนเทศได้ มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม
ซึ่งเหล่านี้จะส่งผลให้ผู้เรียนอยู่ในสังคมโลกอย่างมีความสุข และเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้เรียนให้ดียิ่งขึ้น
เป็นโอกาสที่ดีของข้าพเจ้าที่ได้เข้าร่วมการประชุมปฏิบัติการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี พ.ศ.2555-2559 ของสสวท. โดยสสวท. เป็นองค์การที่ขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีให้ทัดเทียมกับนานาชาติ จึงได้รับมอบหมายให้ดำเนินการในหลักสูตรการศึกษาใหม่ กลุ่มสาระการเรียนรู้ STEM ซึ่ง S:Science(วิทยาศาสตร์)T:Technology(เทคโนโลยี)E:Engineering(วิศวกรรม)และM:Mathematics(คณิตศาสตร์)กล่าวคือ สะเต็มศึกษา (STEM Education) จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นการต่อยอดหลักสูตร เป็นการบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์เข้าด้วยกัน โดยเน้นการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริง รวมทั้งการพัฒนากระบวนการหรือผลผลิตใหม่ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต และการทำงาน เช่น ในระดับประถมศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เชื่อมโยงให้เห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียนกับชีวิตจริง ตัวอย่างการตอบโจทย์การออมเงินในการเรียนเรื่องการ บวก ลบ คูณ หาร อาจจะเชิญเจ้าหน้าที่ธนาคารบริเวณใกล้เคียงโรงเรียนมาพูด อธิบายให้ผู้เรียนฟังเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินเพื่อให้มีเงินออม ต้องใช้ทักษะการบวก ลบ คูณ หารอย่างไร เพื่อให้เกิดความคุ้มค่า มีเงินออมเพื่อมาซื้อสิ่งของที่อยากได้ หรือมีเงินเก็บไว้ใช้ในอนาคต สิ่งนี้ทำให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักและเห็นความสำคัญของการเรียนคณิตศาสตร์ สะเต็มศึกษาจะส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมหรือโครงงานที่มุ่งแก้ไขปัญหาที่พบเห็นในชีวิตจริง เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ ทักษะชีวิต ความคิดสร้างสรรค์ นำไปสู่การสร้างนวัตกรรม ผู้เรียนที่มีประสบการณ์ในการทำกิจกรรมหรือโครงงานสะเต็มจะมีความพร้อมที่จะไปปฏิบัติงานที่ต้องใช้องค์ความรู้ และทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และเทคโนโลยีในภาคการผลิตและการบริการที่สำคัญต่ออนาคตของประเทศชาติ
จากสะเต็มศึกษา (STEM Education) ทางสสวท. ได้เตรียมความพร้อมไว้ 3 ประเด็น ดังนี้ 1. STEM Academy เป็นศูนย์คำแนะนำการสอน การวิจัย แต่ไม่ใช่โรงเรียนกวดวิชาซึ่งอาจตั้งอยู่ในหมาวิทยาลัยหรือโรงเรียนใหญ่ๆ ของแต่ละจังหวัด STEM Ambassador ที่สามารถให้คำแนะนำกับครูในพื้นที่ได้รวมถึงคนที่ทำงานจริง เช่น วิศวกร แพทย์ เป็นต้น เพราะคนเหล่านี้จะอธิบายให้ครูฟังได้ถึงการประยุกต์ใช้ในศาสตร์ของ STEM 2. i-STEM เป็นผลิตภัณฑ์ในการเรียนรู้ เช่น คู่มือครู ตำรา สื่อการสอนต้องเป็น Digital ที่สามารถ Download ได้ง่าย เพื่อกระจายให้ทั่วถึงและรวดเร็ว เพราะวิธีการเดิมกว่าสิ่งพิมพ์จะทำเสร็จโรงเรียนก็ปิดเทอม และจะUpgradeอะไรก็ยาก ไม่ทันใช้งาน 3. STEM Hall of Fame พิพิธภัณฑ์รวบรวมให้ชนรุ่นหลังรู้จักผลงานของบุคคลสำคัญ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นต่อไปเลือกประกอบอาชีพในสายวิทยาศาสตร์มากขึ้น โดยต้องชี้ให้เห็นว่ามีอาชีพอะไรบ้างที่ทำได้
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงการศึกษาของประเทศไทยที่กำลังจะเกิดขึ้น จะล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเล่มหลักสูตรการศึกษา สิ่งสำคัญขึ้นอยู่กับผู้ที่นำหลักสูตรมาใช้และผู้เรียน โดยSTEM เป็นหนึ่งในกลุ่มสาระการเรียนรู้ของหลักสูตรใหม่ จะบรรลุผลได้ ผู้สอนต้องจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้และตื่นตัว อีกทั้งการได้ลงมือปฏิบัติและแก้ปัญหาได้จริง ซึ่งเป็นการวางรากฐานที่สำคัญตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ต่อยอดไปสู่การเรียนในระดับมัธยมศึกษา และระดับมหาวิทยาลัย เพราะรากฐานที่ดีจะทำให้การเรียนรู้ในระดับบนมีปัญหาน้อยลง อีกทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมของผู้เรียนให้อยู่ในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น