วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เรียนรู้กับแบบทดสอบ


                  ช่วงนี้เป็นเทศกาลของการสอบกลางภาคภาคเรียนที่ 1 ทั้งครูและนักเรียนต่างพากันเตรียมตัวรับเทศกาลนี้  โดยบทบาทของครู เป็นผู้สร้างแบบทดสอบ และบทบาทของผู้เรียนเป็นผู้เข้ารับการทดสอบ ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งในการวัดและประเมินผลผู้เรียนเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง
                   เมื่อกล่าวถึงเทศกาลสอบ ข้าพเจ้าอดที่จะคิดถึงเหตุการณ์หนึ่งไม่ได้  เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเศร้าใจให้กับตัวข้าพเจ้ามากกับอาชีพครู  “ตอนนั้นข้าพเจ้าสอนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่5ในโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง โรงเรียนนี้นักเรียนมีอัตราการแข่งขันทางการเรียนสูง ดังนั้นนอกเวลาเรียน ไม่ว่าจะเป็นเวลาหลังเลิกเรียน วันเสาร์ หรือวันอาทิตย์ นักเรียนเกือบทุกคนเรียนพิเศษเพิ่มเติมกับครูในโรงเรียน หรือสถาบัน Tutor ต่างๆ (เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับครูและสถาบัน Tutor อย่างยอดเยี่ยม)  วันหนึ่งหลังจากการสอบวิชาคณิตศาสตร์เสร็จสิ้นลง ข้าพเจ้าแอบได้ยินนักเรียนกลุ่มหนึ่งประมาณ 5 คน เป็นกลุ่มนักเรียนในห้องที่สอนอยู่  พูดว่า....แบบทดสอบข้อที่เป็นอัตนัยเหมือนกับที่ครู B ติวเลย และข้อที่เป็นปรนัยก็โอเคนะ  ประโยคนี้ทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถระงับโทสะได้ จึงย้อนกลับถามนักเรียนไปว่า...พวกเธอเรียนพิเศษกับครู B หรือ นักเรียนคนหนึ่งตอบทันทีว่า ใช่ค่ะ พร้อมกับสายตาที่จดจ้องของเพื่อนอีก 4 คน รวมกับพฤติกรรมต่างๆ ของครู B ที่ข้าพเจ้าเฝ้าสังเกต สิ่งนี้ช่วยตอบสมมติฐานของข้าพเจ้าที่ว่า ครู B ผู้มีตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ เป็นผู้ตรวจสอบและรวบรวมแบบทดสอบของครูทุกคนในกลุ่มสาระต้องนำข้อสอบที่ข้าพเจ้าและครูคนอื่นๆ สร้างขึ้นไปติวนักเรียนอย่างแน่นอน สรุปว่าสมมติฐานนี้เป็นจริง”
                   เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าเงินมีอำนาจเหนือคำว่า“จรรยาบรรณครู”จนทำให้ครูมองข้ามจรรยาบรรณครู 9 ประการ โดยเฉพาะข้อที่ 5 ครูต้องไม่แสวงหาผลประโยชน์อันเป็นอามิสสินจ้างจากศิษย์ ในการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติและไม่ใช้ศิษย์กระทำการใด ๆ อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองโดยมิชอบ  ดังนั้นการสอบจึงไม่มีความหมายสำหรับครูผู้สอน และนักเรียน เพราะไม่สามารถวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนได้อย่างแท้จริง ไม่สามารถประเมินคุณภาพครูผู้สอนได้ ครูผู้สอนไม่ทราบถึงข้อบกพร่องของนักเรียนจากการใช้แบบทดสอบ ทำให้ไม่สามารถพัฒนานักเรียนได้ตรงจุด จะเห็นได้ว่าความเห็นแก่ได้ของครูคนหนึ่งเป็นสาเหตุทำให้ระบบการจัดการเรียนการสอนผิดพลาดไปจากความเป็นจริง  เป็นการสร้างค่านิยมที่ผิดให้กับนักเรียน คือ เรียนเพื่อรู้ข้อสอบ ไม่ใช่เรียนเพื่อรู้ เข้าใจและประยุกต์ใช้
                  สำหรับครู กว่าจะสร้างแบบทดสอบออกมาแต่ละฉบับ เป็นแบบทดสอบมีทั้งแบบปรนัยและอัตนัย ใช้เวลาในการสร้างค่อนข้างมาก เนื่องจากแบบทดสอบจะต้องครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู้ เนื้อหา และสามารถประเมินพฤติกรรมทางด้านการคิด ความรู้ การแก้ปัญหาของนักเรียนได้  ซึ่งทฤษฎีของ Benjamin S. Bloom (2001)  เป็นที่นิยมนำมาใช้ในการสร้างแบบทดสอบเพื่อวัดพฤติกรรมของนักเรียน 6 ระดับ คือ 1.จำ(Remember) เป็นการวัดความสามารถในการดึงเอาความรู้ที่มีอยู่ในหน่วยความจำระยะยาวออกมา  2.เข้าใจ (Understand)  เป็นการวัดความสามารถในการกำหนดความหมายของคำพูด ตัวอักษร และการสื่อสารจากสื่อต่างๆ ที่เป็นผลมาจากการสอน 3.ประยุกต์ใช้ (Apply) เป็นการวัดความสามารถในการดำเนินการหรือใช้ระเบียบ วิธีการภายใต้สถานการณ์ที่กำหนดให้ 4.วิเคราะห์ (Analyze) เป็นการวัดความสามารถในการแยกส่วนประกอบของสิ่งต่างๆและค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบ ความสัมพันธ์ระหว่างของส่วนประกอบกับโครงสร้างรวมหรือส่วนประกอบเฉพาะ 5.ประเมินค่า (Evaluate) เป็นการวัดความสามารถในการตัดสินใจโดยอาศัยเกณฑ์หรือมาตรฐาน 6.สร้างสรรค์ (Create) เป็นการวัดความสามารถในการรวมส่วนประกอบต่างๆ เข้าด้วยกันด้วยรูปแบบใหม่ๆ ที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างมีเหตุผล หรือทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นต้นแบบ ถ้าครูผู้สอนใช้ทฤษฎีของ Benjamin S. Bloom ทั้ง 6 ระดับ มาสร้างแบบทดสอบวัดและประเมินผู้เรียน จะได้แบบทดสอบที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง
                   แบบทดสอบแต่ละข้อ แบบทดสอบแต่ละฉบับ จะมีคุณค่าและมีความหมายได้นั้น ต้องวัดและประเมินพฤติกรรมของผู้เรียนได้จริง ที่สำคัญทุกกระบวนการในการวัดและประเมินผลต้องดำเนินไปด้วยความซื่อสัตย์  ซื่อสัตย์ต่อตนเอง และซื่อสัตย์ต่อผู้อื่นทั้งครูผู้สอนและตัวนักเรียนจึงจะเป็นกระบวนการวัดและประเมินที่สมบูรณ์


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น