วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มารู้จักกับ TPK model


                  ทุกคนย่อมต้องการความเจริญก้าวหน้าในชีวิต โดยเฉพาะชีวิตในวัยทำงานเป็นช่วงที่มีระยะเวลายาวนานที่สุดประมาณ 40 ปี  ดังนั้นทุกคนย่อมดิ้นร้น ต่อสู้ พัฒนาตนเองเพื่อไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีตำแหน่งหรือระดับเงินเดือนที่สูงขึ้น ตามหลักความต้องการของ Abraham Maslow ในขั้น Self-actualization Needs ที่ต้องการความสำเร็จ หรือความต้องการเติมความสมบูรณ์ให้ชีวิต
                   ข้าราชการครูก็เป็นอาชีพหนึ่งที่มีตำแหน่งทางวิชาการให้ครูหลายคนได้ไขว่คว้า หรือ  ที่เรียกว่า “การเลื่อนวิทยฐานะ”เป็นประเด็นที่ทำให้ครูต้องรีบเร่งทำผลงาน เพื่อให้ได้สิ่งนี้มาครอบครอง คือ ทั้งชื่อตำแหน่งทางวิชาการ และเงินประจำตำแหน่งที่ช่วยเพิ่มรายได้ของครูมากพอสมควรแต่การได้มาซึ่งวิทยฐานะกลับสร้างปัญหาให้กับระบบการประเมินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเนื่องจากครูใช้เวลาราชการในการสอนไปทำผลงาน ต้องละทิ้งการสอน ไม่สนใจผู้เรียนหรือจ้างบุคคล ทีมงานทำผลงานโดยที่ตนเองไม่ได้มีส่วนร่วมกับงาน แต่เป็นผู้จ่ายเงินเพียงอย่างเดียว สาเหตุนี้ทำให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องคิดหาวิธีการเพื่อแก้ไขปัญหาในข้างต้น
                   เมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้เข้าร่วมการประชุมปฏิบัติการระดมความคิดเรื่องการพิจารณาหลักเกณฑ์และพัฒนาคู่มือการประเมินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีรูปแบบ TPK model  และในสัปดาห์ที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้เข้าร่วมการประชุมพิจารณากรอบการประเมินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อให้มีและเลื่อนวิทยฐานะตามรูปแบบ TPK model เป็นการประชุมต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เลือกใช้ TPK model (Theoretical Knowledge :TK, Pedagogical Knowledge : PK) มาเป็นรูปแบบในการประเมิน มี 2 สมรรถนะที่ต้องประเมินดังนี้ 1.สมรรถนะทางวิชาการ (Academic/Theoretical Competency) ครูผู้สอนที่ขอวิทยฐานะ ต้องมีความรู้ ความสามารถในศาสตร์ที่สอน 2.สมรรถนะการสอนของครู (Pedagogical Competency)  ซึ่งตัวชี้วัดความสำเร็จของทั้ง 2 สมรรถนะนี้ คือ ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน (Student Achievement) เป็นผลการทดสอบระดับชาติที่เกิดจากการสอนของครูที่ขอวิทยฐานะว่าผ่านเกณฑ์ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้หรือไม่  และแบ่งสิ่งที่ต้องประเมินออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1. การทดสอบด้านความรู้ในเนื้อหาและด้านการจัดการเรียนการสอน   2.ด้านการพัฒนาผู้เรียนให้พิจารณาจากคะแนน O-NET 3.รายงานกระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ประกอบด้วยข้อมูลของครูผู้ขอวิทยฐานะ วิธีการดำเนินการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ผลการดำเนินการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน  และผลการพัฒนาผู้เรียนด้านอื่นๆ  สรุปได้ว่ารูปแบบ TPK model  เป็นการประเมินวิทยฐานะด้วยวิธีการสอบ โดยใช้แบบทดสอบ เพื่อวัดความรู้ ความสามารถที่แท้จริงของครูผู้ขอวิทยฐานะ
                   สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เข้าร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ในการออกแบบการประเมินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งแบบทดสอบจะประกอบด้วยด้านเนื้อหา ความรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่สอนคิดเป็น 60%  และด้านการจัดการเรียนการสอน หลักการ ทฤษฎีเกี่ยวกับหลักสูตรและการสอน วิธีการสอนและเทคนิคการสอน การใช้ทักษะและกระบวนการ ทักษะการแก้ปัญหาเมื่อพบสถานการณ์ต่างๆ ในการสอน ความเข้าใจในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ทักษะการประเมินผลการเรียนรู้แบบต่างๆ  การสร้างเครื่องมือ เกณฑ์ในการวัดและประเมินผลคิดเป็น 40% ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นครูผู้สอนคณิตศาสตร์จึงได้มีส่วนร่วมในการกำหนดขอบข่ายของแบบทดสอบด้านความรู้ในเนื้อหากลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์  มีความเข้มข้นของเนื้อหา ความรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์จะแตกต่างกันตามระดับชั้นที่สอนของครูที่ขอวิทยฐานะ แบ่งได้ดังนี้ 1.ระดับประถมศึกษาสอบเนื้อหาระดับ ป.1-6  80%  ระดับ ม.1-3  20%  2.ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นสอบเนื้อหาระดับ ม.1-3  80%  ระดับ ม.4-6  20%  3.ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสอบเนื้อหาระดับ ม.4-6  80%  ระดับปริญญาตรีปี 1  20%  ผลการประเมินวิทยฐานะในแต่ละระดับจะใช้เกณฑ์ที่แตกต่างกัน  มีหลักเกณฑ์การตัดสิน คือ ครูชำนาญการ ต้องสอบผ่านร้อยละ 60 ขึ้นไป  ครูชำนาญการพิเศษ ต้องสอบผ่านร้อยละ 70 ขึ้นไป  ครูเชี่ยวชาญ ต้องสอบผ่านร้อยละ 80 ขึ้นไป และครูเชี่ยวชาญพิเศษ ต้องสอบผ่านร้อยละ 85 ขึ้นไป  ผลของคะแนนสอบส่วนนี้จะถูกนำไปพิจารณาร่วมกับสมรรถนะการสอนของครูและผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนอีกขั้นตอนหนึ่ง
                   ดังนั้นการใช้ TPK model คงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับครูผู้สอนที่ทุ่มเท ตั้งใจ หมั่นศึกษาหาความรู้ในศาสตร์ที่ตนสอน มาจัดกิจรรมการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์การทดสอบระดับชาติ O-NET ตามเงื่อนไขที่กำหนด  และหวังว่าครูจะใช้เวลาในการศึกษา ค้นคว้ามาพัฒนาวิธีการสอนของตนมากกว่าการมานั่งทำผลงานทางวิชาการกองโตที่ไม่ได้ส่งผลต่อผู้เรียนอย่างแท้จริง

 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น